ปตท.สผ. เผย ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2565 มีรายได้ 95,292 ล้านบาท พร้อมเร่งพัฒนาโครงการจี 1/61 เพื่อเพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติให้กับประชาชนและประเทศ และนำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจให้กับรัฐประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศ
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ตามที่ ปตท.สผ. ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำนั้น ปตท.สผ. ได้วางแผนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านแนวคิด EP Net Zero 2050 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ปัจจุบัน ปตท.สผ. อยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนา CCS ที่โครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย รวมทั้ง ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
หมดอุบัติเหตุริมชายหาด ด้วยโดรนรักษาความปลอดภัย | FactoryNews ep.24/3
ปตท.สผ. ยังได้ร่วมมือกับสถาบันนวัตกรรม ปตท. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนากระบวนการผลิตท่อนาโนคาร์บอน (Carbon Nanotubes หรือ CNTs) จากก๊าซส่วนเกินในกระบวนการผลิตปิโตรเลียม หรือ Flare gas ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนและการนำมาใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) โดย CNTs เป็นวัสดุแห่งอนาคตที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นส่วนประกอบของแบตเตอรี่ อุปกรณ์กักเก็บพลังงานอื่น ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ปัจจุบัน ปตท.สผ. อยู่ระหว่างการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อทดสอบการผลิตท่อนาโนคาร์บอนในโรงงานนำร่อง (Pilot Plant) ซึ่งวางแผนติดตั้งที่โครงการเอส 1 ในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังมองแนวทางการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ด้วยการดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน จำนวน 45,000 ไร่ ภายในปี 2573 โดยบริษัทได้เริ่มปลูกไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน ประมาณ 5,000 ไร่ และจะปลูกอย่างต่อเนื่องปีละ 5,000 ไร่ พร้อมบำรุงรักษาไปจนถึงปี 2582 จากประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2582 จะอยู่ที่ประมาณ 1.113 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2565 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,617 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 95,292 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 148 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับรายได้รวม 2,469 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 84,955 ล้านบาท) ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 3 ปตท.สผ. มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 478,323 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 465,459 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาสที่แล้ว โดยหลักมาจากโครงการจี 1/61 หลังจากเข้าเป็นผู้ดำเนินการเมื่อปลายเดือนเมษายน 2565 และจากโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) ซึ่งได้เพิ่มปริมาณการผลิต รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศ
ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับลดลงจาก 55.61 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ มาอยู่ที่ 53.68 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ในไตรมาสที่ 3 นี้ บริษัทมีผลกำไรจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน จำนวน 94 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 3,415 ล้านบาท)
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 3 ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ 664 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 24,172 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 64 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีกำไรสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 20,600 ล้านบาท) และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ ร้อยละ 76 ซึ่งเป็นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยนำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาประเทศในรอบ 9 เดือนของปี 2565 ส่งให้กับรัฐในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ ประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
สำหรับการขยายการลงทุนในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ ปตท.สผ. ในไตรมาสนี้ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจหลุมแรกในโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) โดยค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับบริษัทในอนาคต อีกทั้ง ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยหลักมาจากการเข้าซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 ในเดือนมีนาคมปีก่อน
ความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อเร่งการผลิตก๊าซธรรมชาติของโครงการจี 1/61 หลังจากที่ ปตท.สผ. ชนะการประมูลโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ, ปลาทอง, สตูล, ฟูนาน) นั้น บริษัทได้เตรียมแผนงานในการเข้าพื้นที่โครงการจี 1/61 ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนวันที่ ปตท.สผ. จะเข้าเป็นผู้ดำเนินการในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ตามข้อตกลงที่มีต่อรัฐ เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้รับสัมปทานรายเดิมให้เข้าพื้นที่ จนเกิดความล่าช้าจากแผนงานเดิมเป็นเวลากว่า 2 ปี ประกอบกับผู้รับสัมปทานรายเดิมหยุดการพัฒนาแหล่งก๊าซฯ มาเป็นเวลานาน ส่งผลให้อัตราการผลิตก๊าซฯลดลงอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้ปรับแผนงานมาโดยตลอด เพื่อเร่งอัตราการผลิตก๊าซฯ และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด
- ปตท.สผ.เจาะสำรวจพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในยูเออี
- ปตท.สผ. นำร่องพัฒนา CCS โครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย ครั้งแรกในประเทศไทย
- ปตท.-ปตท.สผ.ซื้อขายน้ำมันดิบโอมาน 9,000,000 บาร์เรลต่อปี
- ปตท.สผ. เร่งเพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติ โครงการจี 1/61 และ จี 2/61
โดยในช่วงระยะเวลา 6 เดือน หลังจากวันที่ ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการในปลายเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้ทำการเจาะหลุมผลิตไปแล้ว จำนวน 10 หลุม และติดตั้งแท่นหลุมผลิต (wellhead platform) เสร็จสิ้นไปแล้ว 4 แท่น ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งแท่นหลุมผลิตอีก 4 แท่น วางท่อใต้ทะเล และได้เพิ่มแท่นเจาะ (Rig) เพื่อเจาะหลุมผลิตอีกประมาณ 70 หลุมภายในปี 2565 นี้ รวมทั้งกำลังเร่งก่อสร้างแท่นหลุมผลิตใหม่อีก 4 แท่น ซึ่งมีความคืบหน้าไปเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้
“การเร่งรัดพัฒนาโครงการจี 1/61 เป็นอีกเป้าหมายหลักของ ปตท.สผ. ซึ่งภารกิจที่สำคัญครั้งนี้ ปตท.สผ. ตระหนักเป็นอย่างดี เราพยายามอย่างเต็มความสามารถและหาทุกวิถีทางมาโดยตลอดในการเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ” นายมนตรีกล่าว
ในระหว่างที่กำลังเร่งพัฒนาโครงการจี 1/61 นั้น ปตท.สผ. ได้เพิ่มการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งบงกช แหล่งอาทิตย์ และพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) รวมอีกประมาณ 200 – 250 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติให้กับประชาชนและประเทศ
ด้านความคืบหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีนั้น บริษัท โรวูล่า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้บริษัท ARV ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการพัฒนาหุ่นยนต์นอติลุส (Nautilus) ร่วมกับพันธมิตร และพร้อมสำหรับให้บริการในเชิงพาณิชย์แล้ว นอติลุสเป็นหุ่นยนต์ซ่อมท่อใต้น้ำกึ่งอัตโนมัติตัวแรกของโลก ที่สามารถลงไปซ่อมบำรุงท่อใต้ทะเลได้ลึกมากถึง 150 เมตร รองรับภารกิจที่มีความเสี่ยงกับมนุษย์ เพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานใต้ทะเลลึก และยังช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้กว่า 40%