พีระพันธุ์ ผลักดันทุกมาตรการ ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และก๊าซหุงต้ม เป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้ประชาชน ย้ำ การลดภาระค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ เป็นเพียงมาตรการระยะสั้น เตรียมรื้อกฎหมาย ปรับโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิด เพื่อให้การลดราคาพลังงานมีความยั่งยืน และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นำร่องปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน เพื่อลดความเดือดร้อนจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ตามที่กระทรวงพลังงานได้เสนอ โดยมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ประกอบด้วย มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2567 โดยกระทรวงพลังงานจะหารือกับกระทรวงการคลังในการบริหารจัดการด้านราคา ใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนราคาก๊าซหุงต้มที่ประชุมก็ได้มีมติให้ตรึงราคาที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2567 โดยบริหารผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
นักวิจัยพัฒนาระบบประสาทเทียมให้หุ่นยนต์สามารถระบุพื้นผิวที่สัมผัสได้
ส่วนมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า ที่ประชุมได้ มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 นอกจากนั้น ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รับภาระเงินคงค้างสะสม (AF) สำหรับงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2567 แทนประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าไปพลางก่อน ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะมีการทบทวนสมมติฐานปริมาณและราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และจะมีการนำส่วนลดค่าก๊าซธรรมชาติ จำนวน 4,300 ล้านบาทจากการขาดส่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของผู้ผลิต (Shortfall) ในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 มาช่วยลดราคาก๊าซธรรมชาติในรอบนี้ด้วย ซึ่งจากมาตรการดังกล่าวทั้งหมด จะทำให้ค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม – เมษายน 2567 จะอยู่ที่ไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนจะได้รับส่วนลดเพิ่ม 21 สตางค์ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 17 ล้านครัวเรือน จะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเดิมคือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยในส่วนนี้จะใช้งบกลางในการบริหารคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1,950 ล้านบาท
“หลังผมได้รับตำแหน่ง ผมและข้าราชการเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่กระทรวงพลังงานนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการหาแนวทาง ใช้ทุกมาตรการ เพื่อลดราคาพลังงานทุกชนิดให้แก่ประชาชน ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ราคาก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากต่างประเทศอยู่ในระดับสูง ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศก็ยังผลิตไม่ได้ตามแผนเนื่องจากมีการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทาน อีกทั้งสงครามภายนอกที่ยืดเยื้อ และพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีอยู่ในระบบปัจจุบัน ก็ยังมีต้นทุนสูง ทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบมาเป็นต้นทุนค่าไฟ และที่ผ่านมา ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก กฟผ. ในการแบกรับภาระค่าไฟฟ้าบางส่วนมาโดยตลอด รวมทั้งให้ประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรม ดังนั้น ผมต้องรักษาสมดุลให้กับทุกฝ่าย และในส่วนของน้ำมัน ผมก็ได้หารือกับกระทรวงการคลังในการใช้กลไกการลดการเก็บภาษีสรรพสามิตเพื่อให้สามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อไปอีก 3 เดือน ส่วนราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินที่ผมได้สั่งการให้มีการลดราคาตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ก็ยังมีผลต่อเนื่องยาวไปจนถึง 31 มกราคม 2567 ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันนี้ ถือเป็นของขวัญปีใหม่จากกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเท่านั้น ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการรื้อกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ให้มีความทันสมัย เหมาะสมกับสถานการณ์ ประชาชนจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด จะไม่มีเสียงครหาว่ากระทรวงพลังงานเอื้อกลุ่มทุนพลังงาน” นายพีระพันธุ์ กล่าว