จากรายงานการศึกษา ‘How do Workers and Households Adjust to Robots? Evidence from China’ โดย National Bureau of Economics Research ประเทศสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่าการแรงงานในประเทศจีนนั้นได้รับผลกระทบในด้านการจ้างงาน ทั้งการลดเงินได้และการสูญเสียตำแหน่งหน้าที่จากการเข้ามาของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
ประเทศจีนนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้งานหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมากที่สุดในโลก ประมาณ 950,000 ตัว แต่ในขณะเดียวกันรายได้ประชากรต่อหัวนั้นยังไม่ได้อยู่ในระดับที่มีความก้าวหน้าที่จะรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลจากนโยบายของประธานธิบดี Xi Jingping ให้ความสำคัญกับการใช้หุ่นยนต์เพื่อเร่งกำลังผลิตของประเทศระหว่างปี 2016 – 2020
ผลจากการลงทุนนั้นพบว่าจีนสามารถเพิ่ม Productivity ได้แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสภาวะต้นทุนแรงงานที่ทะยานขึ้นพร้อมกับปัญหาด้านสังคมผู้สูงอายุด้วยก็ตาม การลงทุนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจึงทำให้จีนยังสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลร้ายกับแรงงานในประเทศเช่นกัน
จากรายงานการศึกษาในอดีตพบว่าเกิดข้อถกเถียงกันว่ามีแรงงานจีนถึง 77% ที่ได้รับผลกระทบจากระบบอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น กรณี Foxconn ที่มีการทดแทนแรงงานกว่า 400,000 ตำแหฟน่งงานในจีนด้วยหุ่นยนต์เพื่อให้โรงงานเปลี่ยนเป็นการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ 30%
การศึกษายังพบอีกว่าการเพิ่มขึ้นของหุ่นยนต์ยังลดรายได้ต่อชั่วโมงลง 9% ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้รวมด้วยเช่นกัน ผลกระทบเหล่านี้เกิดขึ้นกับแรงงานทักษะต่ำ เพศชาย วัยทำงานและแรงงานสูงอายุ ทำให้ต้องทำงานยาวนานยิ่งขึ้นถึง 14% เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลง ทั้งยังส่งผลให้เกิดการหยิบยืมเงินเพิ่มขึ้น 10% เพื่อทำให้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวต่อไปได้
นอกจากนี้ครอบครัวยังต้องลงทุนให้กับเด็กเพิ่มขึ้นเพื่อการศึกษาถึง 10% และลงทุนกิจกรรมหลังเลิกเรียนรวมถึงคอร์สพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 24% ซึ่งเป็นผลจากการเข้ามาของหุ่นยนต์ที่ทำให้ความต้องการตลาดแรงงานนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ที่มา:
theregister.com