บางจาก จับมือ 11 พันธมิตร ตั้ง Carbon Markets Club

บางจาก จับมือ 11 พันธมิตร ตั้ง Carbon Markets Club

Date Post
28.06.2021
Post Views

กลุ่มบางจาก  จับมือ พันธมิตรรวม 11 องค์กร ก่อตั้ง Carbon Markets Club  ครั้งแรกในประเทศไทย ส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอน ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 

บางจาก  จับมือ 11 พันธมิตร ตั้ง Carbon Markets Club

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ประเทศต่างๆ ในโลกต้องร่วมกันพยายามรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มมากไปกว่า 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานสีเขียวหรือพลังงานสะอาดนับเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยในเรื่องนี้ แต่ก็ยังทำได้ไม่เร็วพอ และในความเป็นจริงนั้น พลังงานฟอสซิลจะยังอยู่กับเราไปอีกหลายทศวรรษ ในขณะที่การพัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมสีเขียวยังต้องมีมาตรการอุดหนุนจากรัฐบาลหรือนำภาษีจากประชาชนมาสนับสนุนอยู่

ฉะนั้น การซื้อขายคาร์บอนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยตอบโจทย์นี้ โดยหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นผู้ผลิตหรือมีรายได้จากอุตสาหกรรมหนักหรือใช้พลังงานฟอสซิล ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นผ่านการซื้อขายคาร์บอนหรือการจ่ายภาษีทางอ้อมเพื่อนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายคาร์บอนไปอุดหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ส่งผลให้เราเริ่มเห็นมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือ non-tariff barriers จากประเทศต่างๆ เช่น European Green Deal เพื่อเป็นทุนในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ซึ่งการจัดตั้งเครือข่าย Carbon Markets Club ในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายและโอกาสทางการค้าในรูปแบบใหม่ๆ นี้ได้

เทคโนโลยีการตัดและการเซาะร่อง ตัดชิ้นงานที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 120 mm. | ISCAR [SuperSource]

โดยในวันนี้ ได้มีการจัดพิธีลงนาม MOU ในรูปแบบออนไลน์ระหว่างพันธมิตร 11 หน่วยงานที่ถือเป็นสมาชิกตั้งต้นหรือ founding members ของเครือข่ายฯ  และเป็นการรวบรวมองค์กรชั้นแนวหน้าของประเทศที่ให้ความสำคัญกับการร่วมกันลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำธุรกิจผ่านการซื้อขายคาร์บอน ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

ซึ่ง 11 องค์กรพันธมิตรที่เป็นสมาชิกตั้งต้นของเครือข่าย Carbon Markets Club มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะช่วยกันสนับสนุน เผยแพร่ ส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอน ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนเครดิตในระบบ T-VER โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งการซื้อขายในปัจจุบันยังเป็นรูปแบบซื้อขายกันโดยตรง (over the counter) อยู่ ซึ่งสมาชิกเครือข่ายฯ มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการพัฒนาการซื้อขายไปสู่ platform ระบบดิจิทัลเพื่อความรวดเร็วและทันสมัย รองรับตั้งแต่การทำ e-registration กับหน่วยงานผู้ขึ้นทะเบียนและให้การรับรอง ไปจนถึงการทำ e-carbon trading และนำ blockchain มาใช้ในการซื้อขายสู่การทำธุรกรรมทางการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือที่เรียกกันว่า DeFi หรือ decentralized finance ซึ่งกำลังได้รับความนิยม
มากขึ้น

นอกจากนี้ กลุ่มสมาชิกตั้งต้นของเครือข่ายฯ ยังได้ทำการซื้อขายคาร์บอนเป็นปฐมฤกษ์ ทั้งคาร์บอนเครดิตในระบบ T-VER และเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) และมีบุคคลชื่อดังในวงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่าง ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการทางทะเล คุณท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม และ คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรและผู้ผลิตสื่อ 

ร่วมซื้อคาร์บอนแบบบุคคล เพื่อเป็นการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ชีวิตประจำวันของตนเองด้วย เป็นการร่วมสร้างการตระหนักรู้ให้สังคมว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิตไม่จำกัดอยู่เพียงในรูปแบบขององค์กรหรือบริษัทเท่านั้น ทุกคนล้วนมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ชีวิตประจำวัน และทุกคนสามารถมีส่วนช่วยลดผลกระทบได้ เริ่มจากการใช้ชีวิตแบบคาร์บอนต่ำ และยังสามารถชดเชยผ่านการซื้อคาร์บอนได้อีกด้วย โดยในวันนี้มีการซื้อขายคาร์บอนรวม 2,564 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2e) เทียบได้กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ประมาณ 298,140 ต้นหรือ 1,491 ไร่ ซึ่งผู้ขายคาร์บอนเครดิตคือ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และผู้ขายเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และจะนำรายได้จากการจำหน่ายไปทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมต่อไป

“ผมเชื่อมั่นว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้เป็นเพียงก้าวแรกที่ทุกคนและทุกหน่วยงานจะได้ประสานความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนทั้งในรูปแบบองค์กรและบุคคล เป็นวิธีหนึ่งที่จะนำพาเราไปสู่สังคม Net Zero หรือสังคมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์และทำให้โลกเราน่าอยู่ยิ่งขึ้นครับ” นายชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Nichaphan W.
การตลาดและประชาสัมพันธ์
Taiwan-Excellent