บางจาก เผยผลการดำเนินงานปี 2564 EBITDA กว่า 25,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แจงปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย (BPR) กว่า 1,600 ล้านบาท
กลุ่มบางจากฯ รายงานผลการดำเนินงานปี 2564 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 199,417 ล้านบาท EBITDA 25,818 ล้านบาท กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 7,624 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.25 บาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับผลดีจากการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำอย่างธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่นอร์เวย์ (OKEA) ตลอดจนกระบวนการ Business Process Redesign (BPR) เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในให้มีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2553 ที่ช่วยเพิ่ม EBITDA ให้กับกลุ่มบริษัทฯ มากกว่า 1,600 ล้านบาทในปี 2564 พร้อมเร่งลงทุนในนวัตกรรมสีเขียวเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่องค์กรยั่งยืน ช่วยนำพาโลกสู่เป้าหมาย Net Zero ภายใต้เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) ในปี ค.ศ. 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ. 2050 ของกลุ่มบริษัทฯ
Automation Expo 2022 | Automation Technology Showcase for META Manufacturing
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจากฯ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของในปี 2564 ว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและยาวนานตลอดทั้งปี บางจากฯ และบริษัทย่อย สามารถสร้างผลดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 199,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 จากปี 2563 คิดเป็น EBITDA 25,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 529 จากปี 2563 และกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 7,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,591 ล้านบาทจากปี 2563 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.25 บาท นับเป็นผลการดำเนินงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการเฉพาะไตรมาส 4 ปี 2564 มียอดรวม 66,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันเกิดขึ้น และสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายประเทศเริ่มคลี่คลายลง
สำหรับผลกำไรของไตรมาส 4 ปี 2564 นั้น สถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางของประชาชนในประเทศฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มี EBITDA 9,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 1,756 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.20 บาท ภายหลังความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ปรับลดลงมาโดยตลอดก่อนหน้านี้เริ่มกลับมา ส่งผลให้ยอดจำหน่ายผ่านตลาดค้าปลีกเดือนธันวาคม 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 432 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งเป็นปีแรกที่ยอดขายสูงกว่ากำลังการกลั่นของโรงกลั่นบางจาก
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจตลาดผลักดันยอดขายน้ำมันเครื่องอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปในประเทศของบริษัทฯ เพิ่มเป็นร้อยละ 9.9 จาก 9.4 ในปีก่อน และธุรกิจร้านกาแฟอินทนิลก็สามารถทำยอดจำหน่ายแก้วขายต่อวัน New High ได้เช่นกันในเดือนธันวาคม
- บางจาก ลงทุนในสตาร์ทอัพ ต่อยอดสู่ Green Hydrogen
- บางจาก ร่วมพัฒนาน้ำมันเครื่องบินคาร์บอนต่ำ
- บางจากฯ จับมือเอ็มจีเปิด EV Charging Station ในปั๊มบางจาก
- บางจาก ประสบความสำเร็จออกหุ้นกู้ 7 พันล้านบาทตามเป้า
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ไม่เพียงแต่ปัจจัยตามสภาวะตลาดเท่านั้นที่หนุนให้รายได้จากการขายและให้บริการดีขึ้น แต่ความสามารถในปรับตัวและเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายในมีส่วนสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไรในกลุ่มบางจากฯ อย่างการจัดทำ Business Process Redesign (BPR) เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย โดยมีทั้งโครงการที่ทำมาต่อเนื่องและโครงการที่พัฒนาขึ้นใหม่ซึ่งช่วยเพิ่ม EBITDA ให้กับกลุ่มบริษัทฯ มากกว่า 1,600 ล้านบาทในปี 2564 รวมถึงการเร่งผลักดันผลิตภัณฑ์ UCO เพื่อขายทดแทนน้ำมันเครื่องบินที่หยุดชะงัก สะท้อนถึงการปรับตัวภายใต้วิกฤตและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 กลุ่มบางจากฯ ตั้งเป้าเดินหน้าขยายธุรกิจโดยมุ่งเน้นการลงทุนโดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมสีเขียวเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) ในปี ค.ศ. 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ. 2050
โดยในปีนี้ บางจากฯ ได้รับ S&P Global Sustainability Award 2022 ระดับ Silver Class เป็นอันดับ Top 3 ของโลกจากการประเมินโดย S&P Global ผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI ตอกย้ำแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งครอบคลุมไปถึงการดำเนินธุรกิจสีเขียวผ่านบริษัทในกลุ่มอย่าง BCPG และ BBGI โดย BBGI ที่มีแผนยุทธศาสตร์รุกธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง พร้อมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 17 มีนาคม 2565 นี้
นอกจากนี้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้นจะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2564 ในอัตรา 2 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมประมาณ 2,715 ล้านบาท โดยวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 3 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่22 เมษายน 2565