บีซีพีจี มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลรอบครึ่งหลังของปี 2564 เพิ่มอีก 0.17 บาทต่อหุ้น พร้อมอนุมัติวงเงินหุ้นกู้ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท รองรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า ระบุปี 2565 ตั้งเป้ามี EBITDA โตร้อยละ 25-35 เดินหน้าเจรจาปิดดีล M&A ปักหมุดปี 2569 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,900 เมกะวัตต์
นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯจัดสรรเงินกำไรประจำปี 2564 ไว้เป็นทุนสำรองตามกฎหมาย และจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิสำหรับผลการดำเนินงานในรอบครึ่งหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมดที่จ่ายในปี 2564 อัตรารวม 0.16 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายประจำปี 2564 จำนวนทั้งสิ้น 0.33 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมจำนวน 926.02 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2565
Biomek NGeniuS เครื่องเตรียมน้ำยาสำหรับงาน NGS แบบอัตโนมัติ
รวมถึงได้อนุมัติให้บริษัทฯ ออกและเสนอขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2565-2569) เพื่อใช้ในการลงทุน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป หรือเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ โดยการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในรูปสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินตราต่างประเทศ ตามความเหมาะสมกับความต้องการใช้เงินของบริษัทฯ และสภาวะตลาดในขณะนั้น
“การได้รับอนุมัติวงเงินหุ้นกู้ในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพฐานทุนในการรองรับแผนการลงทุนส่วนหนึ่ง โดยในอีก 5 ปีนับจากนี้ บีซีพีจีวางเป้าหมายขยายการเติบโตกว่าเท่าตัวจากปัจจุบันทั้งด้านรายได้ (Revenue) และ กำลังการผลิต (Generation Capacity) จาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณ 95,000 ล้านบาท ได้แก่
1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
2) ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (smart energy solution) อาทิ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ แบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ฯลฯ
3) ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (smart infrastructure) อาทิ ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันบีซีพีจีมีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งหมดภายในปี 2568
นายนิวัติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมของแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯได้ตั้งเป้ากำไรก่อนจะหักภาษีดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตประมาณร้อยละ 25-35 จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีการรับรู้ EBITDA จากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนที่จะลงทุนซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท