1. ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า (Earthquake Early Warning – EEW)
หลักการทำงาน
ระบบ EEW ใช้เครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Waves) แล้ววิเคราะห์ความรุนแรงของแผ่นดินไหว
แจ้งเตือนประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า และโรงพยาบาล ให้หยุดทำงานก่อนที่แรงสั่นสะเทือนรุนแรงจะมาถึง
ตัวอย่างระบบที่ใช้งานจริง
- ShakeAlert (สหรัฐอเมริกา) – แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟนโดย Google Android และระบบสื่อสารฉุกเฉิน
- J-ALERT (ญี่ปุ่น) – เชื่อมต่อระบบเตือนภัยของรัฐบาล และปิดระบบรถไฟฟ้าอัตโนมัติ
- P-Alert (ไต้หวัน) – ระบบเซ็นเซอร์ความแม่นยำสูงที่ติดตั้งทั่วประเทศ
แนวโน้มในอนาคต
AI และ Machine Learning จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของการทำนายแผ่นดินไหว
ระบบแจ้งเตือนจะเชื่อมต่อกับ IoT มากขึ้น เช่น ส่งคำสั่งปิดก๊าซหรือไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
2. แอปพลิเคชันแจ้งเตือนแผ่นดินไหว
ปัจจุบันมีหลายแอปที่ใช้ข้อมูลจากระบบ EEW มาช่วยให้ประชาชนได้รับแจ้งเตือนเร็วขึ้น
แอปพลิเคชันที่น่าสนใจ
- MyShake (พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย UC Berkeley) – ใช้สมาร์ทโฟนเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหว
- LastQuake (โดย EMSC) – รวมข้อมูลแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์จากทั่วโลก
- QuakeAlertUSA – ใช้ข้อมูลจาก ShakeAlert เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ในพื้นที่เสี่ยง
แนวโน้มในอนาคต
ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากสมาร์ทโฟนหลายล้านเครื่องเพื่อเพิ่มความแม่นยำของการแจ้งเตือน
ผสานเข้ากับ Wearable Devices เช่น สมาร์ทวอทช์ เพื่อให้เตือนภัยได้แม่นยำขึ้น
3. IoT และเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหว
เทคโนโลยีที่ใช้
เซ็นเซอร์วัดความเร่ง (Accelerometers) – ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนที่พื้นดินและอาคาร
เครือข่ายอุปกรณ์ IoT – ติดตั้งเซ็นเซอร์ตามเมืองใหญ่และโครงสร้างพื้นฐาน
Edge Computing – ประมวลผลข้อมูลแบบกระจายตัวเพื่อแจ้งเตือนอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างการใช้งานจริง
- QuakeGuard – ระบบเซ็นเซอร์ IoT ที่ติดตั้งในอาคารเพื่อตรวจจับแผ่นดินไหวล่วงหน้า
- Google Android Earthquake Alerts System – ใช้เซ็นเซอร์จากสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ทั่วโลกมาวิเคราะห์ข้อมูล
แนวโน้มในอนาคต
AI จะสามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวโดยใช้ข้อมูลจาก IoT มากขึ้น
ระบบเซ็นเซอร์จะมีราคาถูกลงและสามารถติดตั้งได้ทั่วถึงมากขึ้น
4. เทคโนโลยีโครงสร้างต้านแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหวไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควบคุมได้ แต่เทคโนโลยีอาคารสามารถช่วยลดความเสียหายได้
โครงสร้างต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่
- Base Isolation System – ติดตั้งชั้นรองรับพิเศษใต้ฐานอาคาร เพื่อลดแรงสั่นสะเทือน
- Tuned Mass Dampers (TMDs) – ใช้ก้อนน้ำหนักขนาดใหญ่ในอาคารเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน เช่น ที่ตึก Taipei 101
- Smart Materials – คอนกรีตและโลหะที่สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น
ตัวอย่างอาคารที่ใช้เทคโนโลยีนี้
- Tokyo Skytree (ญี่ปุ่น) – ใช้ระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือนแบบดั้งเดิมของเจดีย์ญี่ปุ่นโบราณ
- The Salesforce Tower (สหรัฐฯ) – ใช้โครงสร้างเหล็กพิเศษที่ช่วยดูดซับแรงแผ่นดินไหว
แนวโน้มในอนาคต
วัสดุอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อลดแรงกระแทกอัตโนมัติ
อาคารสูงจะใช้ AI วิเคราะห์แรงสั่นสะเทือนแบบเรียลไทม์
5. AI และ Big Data สำหรับการพยากรณ์แผ่นดินไหว
การใช้งาน AI ในการคาดการณ์แผ่นดินไหว
วิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น เซ็นเซอร์แผ่นดินไหว ภาพถ่ายดาวเทียม และการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก
ใช้ Deep Learning เรียนรู้รูปแบบของแผ่นดินไหวจากอดีต เพื่อทำนายจุดเสี่ยงในอนาคต
ตัวอย่างการใช้งานจริง
- Google AI Earthquake Prediction – ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และแจ้งเตือนผ่าน Android
- Stanford Seismic Prediction Model – แบบจำลอง AI ที่ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงของแผ่นดินไหวในพื้นที่ต่าง ๆ
แนวโน้มในอนาคต
- ระบบพยากรณ์จะแม่นยำขึ้น และสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าเป็นวันหรือสัปดาห์ได้
6. โดรนและหุ่นยนต์กู้ภัยแผ่นดินไหว
เทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นหาและกู้ภัย
- โดรนความร้อน – ใช้ตรวจหาผู้รอดชีวิตใต้ซากอาคาร
- หุ่นยนต์งู (Snakebot) – เข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อตรวจหาผู้ติดอยู่ข้างใน
- Exoskeletons – ชุดเกราะพิเศษช่วยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยยกของหนักได้ง่ายขึ้น
แนวโน้มในอนาคต
AI และระบบควบคุมอัตโนมัติจะช่วยให้หุ่นยนต์ค้นหาผู้รอดชีวิตได้เร็วขึ้น
ประเทศไทยถึงเวลาแล้วหรือไม่?
จริงจังกับ Security Technology