ในระหว่างที่หลายประเทศกำลังถกเถียงกันว่าจะเริ่มทำการห้ามขายรถเครื่องยนต์สันดาปภายในเมื่อใดอยู่นั้น Nissan ก็ได้เริ่มเดินหน้านับถอยหลังสู่การเริ่มขายรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (All-electric) ในยุโรปภายในปี 2030
- Toyota เตรียมใช้สายการผลิตแบบใหม่สำหรับรถยนต์ EV
- Honda เปลี่ยนใช้พอร์ตชาร์จ NACS หลังบรรลุข้อตกลงกับ Tesla
โดยความมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนการขายนี้เกิดขึ้นในขณะที่ Nissan ได้มีการดำเนินโครงการลงทุนในทีมออกแบบ วิจัยและพัฒนาในยุโรป และใช้ความสามารถในการออกแบบและวิศวกรรมมาต่อยอดจุดแข็งของ Nissan เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนโลกเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
แผนการณ์ใหม่ของ Nissan ภายใต้ชื่อกลยุทธ Ambition 2030 ได้ระบุว่า Nissan จะทำการเปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นใหม่กว่า 19 รุ่นภายในปี 2030 และในขณะเดียวกัน Nissan ก็จะเริ่มนำเอาเทคโนโลยีปลอดโคบอลต์เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าลง 65% ภายในปีงบประมาณ 2028
เพิ่มเติมจากผู้เขียน : ปีงบประมาณ หรือ ‘Fiscal year’ เป็นช่วงเวลาที่ใช้สำหรับคำนวณงบการเงินประจำปีในธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ในหลายเขตอำนาจตามกฎหมาย กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการบัญชีและการเก็บภาษี แต่ไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ 1 ม.ค. และสิ้นสุด 31 ธ.ค.เหมือนกับการนับปีตามปฏิทินแบบทั่วไป
นอกจากนี้ Nissan ยังตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ All-Solid-State (ASSB) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ภายในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งจะสามารถช่วยลดต้นทุนของชุดแบตเตอรี่ลงได้เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันด้านต้นทุนระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เบนซินในอนาคต
Makoto Uchida ประธานและ CEO ของ Nissan ยังได้ออกมากล่าวว่า “รถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนนั้น ถือเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์ Ambition 2030 ของเรา”
“Nissan จะเปลี่ยนไปสู่การจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในยุโรปภายในปี 2030 เราเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำเพื่อธุรกิจของเรา เพื่อลูกค้าของเรา และเพื่อโลกของเรา”
แผนการณ์ Ambition 2030 ของ Nissan เป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มุ่งมั่นที่จะกลายเป็นบริษัทที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง และผลักดันให้เกิดเป็นโลกที่สะอาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และครอบคลุมมากขึ้น และในอีกสิบปีข้างหน้า Nissan ยังต้องการที่จะนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปพร้อม ๆ กับการขยายการดำเนินงานไปทั่วโลกเพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนตลอดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ภายในปีงบประมาณ 2050