GPSC – CHPP – EXIM BANK – TGO และ NEO ลงนามขับเคลื่อนการลงทุน Solar Rooftop ตั้งเป้าติดตั้งกว่า 100 เมกะวัตต์ สิ้นปี 2565
นางรสยา เธียรวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC เปิดเผยว่า เมื่อ 15 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้มีพิธีลงนามลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 5 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย GPSC, บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP), ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK), องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) และบริษัท นีโอคลีน เอ็นเนอยี่ จำกัด (NEO ) เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop)
Vacon อินเวอร์เตอร์พร้อม PLC ในตัว | ทนทาน และสนับสนุน Preventive Maintenance [Super Source]
และการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ Solar Orchestra ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้ามาลงทุน Solar Rooftop แล้วขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ “โครงการ T-VER” และรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต”และสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ โดยตั้งเป้าหมายการติดตั้ง Solar Rooftop กว่า 100 เมกะวัตต์ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2565
สำหรับความร่วมมือดังกล่าว แบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ GPSC ในฐานะแกนนำด้านธุรกิจไฟฟ้าของ กลุ่ม ปตท. จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาผู้ประกอบการไทย โดยการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน CHPP บริษัทในกลุ่มซึ่ง GPSC ถือหุ้น 100% จะเป็นผู้รับเหมาหลัก (EPC Contractor) ในการพัฒนาติดตั้งโซลาร์ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ Solar Orchestra ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
- GPSC คิกออฟ โรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน
- GPSC เข้าถือหุ้น 25% พลังงานลมในไต้หวัน
- GPSC ทุ่มงบ 14,825 ล้านบาท ซื้อหุ้น โรงไฟฟ้าโซลาร์อินเดีย
- GPSC เปิดตัวผลิตภัณฑ์ G Float นวัตกรรมทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ
ขณะที่ EXIM BANK จะให้การบริการทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่สนใจติดตั้งระบบ Solar Rooftop เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก TGO จะสนับสนุนความร่วมมือเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระบวนการและหลักเกณฑ์การขอขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER และการขอรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย เพื่อจะขับเคลื่อนให้ไทยก้าวสู่นโยบายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี พ.ศ. 2608-2613 (ค.ศ. 2065 – 2070) ตามที่รัฐบาลได้กำหนดแผนงานเพื่อให้ก้าวทันในเวทีโลก และ NEO จะช่วยดำเนินการเป็นผู้รับเหมารอง (Sub EPC Contractor) โครงการ Solar Orchestra ดังกล่าว
“ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการมอบสิทธิประโยชน์แบบ All in one package ให้กับผู้ประกอบการไทยที่สนใจลดค่าไฟฟ้า โดยการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในกิจการ จากการร่วมดำเนินงานโดยบริษัทชั้นนำของประเทศ พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) การสนับสนุนทางการเงินด้วยเงื่อนไขพิเศษ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านคาร์บอนเครดิต” นางรสยากล่าว
ด้านนายศิริเมธ ลี้ภากรณ์ กรรมการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP) กล่าวว่า ภายใต้แนวคิด Sustainable Energy Management for All การพัฒนาโครงการ Solar Orchestra เป็นการขับเคลื่อนพลังงานหมุนเวียน เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตของไทย ที่มีแนวโน้มต้องการพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตสินค้ามากขึ้นตามทิศทางของกระแสโลก ที่มุ่งใช้นโยบายพลังงานสะอาดเพื่อลดภาวะโลกร้อน และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การนำไปรายงานเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint Organization) ในรายงานประจำปี ที่จะนำไปสู่การพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน
ดังนั้น การคัดสรรเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสำหรับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจึงมีความสำคัญในการพัฒนาโครงการ ซึ่ง CHPP มีประสบการณ์ที่จะสามารถออกแบบการติดตั้งระบบ Solar Rooftop, Solar Floating และ ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management) ให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจพลังงานสะอาดให้เหมาะสมต่อการใช้ไฟฟ้าของผู้ประกอบการแต่ละราย