Store Master - Kardex
how to start using cobot for sme

6 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการใช้งาน Cobot เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในที่ทำงาน

Date Post
20.12.2024
Post Views

Key
Takeaways
  • ความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ Cobot – Cobot ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน เช่น ระบบจำกัดแรง การเฝ้าติดตามระยะห่าง และการหยุดทำงานที่ปลอดภัย ซึ่งเหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำและลดความเสี่ยงในพื้นที่ทำงานร่วมกัน

  • แบรนด์และการเลือก Cobot สำหรับธุรกิจไทย – แนะนำแบรนด์ยอดนิยม เช่น Universal Robots, ABB Robotics, และ KUKA Robotics พร้อมเน้นความเหมาะสมในงานต่าง ๆ เช่น การประกอบ การเชื่อม และการบรรจุสินค้า

  • แนวทางเริ่มต้นและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องสำหรับโรงงานและ SME – การวิเคราะห์ความเหมาะสมของงาน การฝึกอบรมพนักงาน การเริ่มต้นใช้งานแบบทดลอง และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน

หุ่นยนต์ผู้ช่วยหรือ Cobot ( collaborative cobot ) ได้กลายเป็นเสมือนภาพความฝันจากภาพยนตร์ที่กลายมาเป็นจริงในโลกอุตสาหกรรม สถานที่ที่มนุษย์และเครื่องจักรสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ Cobot ไม่เพียงเป็นตัวแทนของเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่โรงงานผลิตสินค้าไปจนถึงธุรกิจขนาดเล็ก การนำ Cobot เข้ามาใช้งานได้เปิดโอกาสใหม่ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เต็มไปด้วยความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เหมือนกับฝันที่เป็นจริงของอนาคตที่เราสร้างขึ้นเอง โดยในวันนี้ MMThailand จะพาทุกท่านมาเรียนรู้และสำรวจพร้อมหาคำตอบว่า Cobot คืออะไร ปลอดภัยจริงไหม และระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรจะทำงานร่วมกันอย่างไรให้มีความปลอดภัยมากที่สุด

Cobot ต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปอย่างไร?

Cobot แตกต่างจากหุ่นยนต์อุตสาหกรรมทั่วไปในด้านความสามารถในการทำงานร่วมกับมนุษย์โดยไม่ต้องใช้รั้วกั้นในหลายกรณี อย่างไรก็ตาม มาตรฐานความปลอดภัยในบางสถานการณ์ เช่น การทำงานในพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ยังคงแนะนำการใช้รั้วกั้นหรืออุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุด

นอกจากนี้ Cobot ยังมีขนาดกะทัดรัดและติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น เช่น การสลับจากสายการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปยังการประกอบสินค้าที่ต้องการความละเอียดมากขึ้น โดย Cobot สามารถปรับการตั้งค่าและเปลี่ยนอุปกรณ์ปลายแขนได้อย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการทำงานที่แตกต่างกัน

Cobot มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

Cobot แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆถูกแบ่งตามลักษณะการใช้งานและเทคโนโลยีที่ใช้ ได้แก่

1. Safety Monitored Stop Cobot

Cobot ประเภทนี้ออกแบบมาให้หยุดทำงานทันทีเมื่อมนุษย์เข้าใกล้พื้นที่การทำงาน โดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวหรือระยะทาง ระบบนี้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด เช่น การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมหนัก

2. Speed and Separation Monitoring Cobot

Cobot ประเภทนี้สามารถปรับเปลี่ยนความเร็วหรือหยุดการทำงานได้ตามระยะปลอดภัยระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ โดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับและระบบควบคุมความเร็ว เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและการทำงานร่วมกับมนุษย์ในพื้นที่ใกล้ชิด

3. Power and Force Limiting Cobot

Cobot ประเภทนี้มีการจำกัดแรงและพลังงานที่ใช้ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บหากเกิดการชนหรือสัมผัสกับมนุษย์ โดยมีโครงสร้างที่ปลอดภัยและออกแบบมาให้ใช้งานในพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้รั้วกั้นได้

4. Hand Guiding Cobot

Cobot ประเภทนี้รองรับการควบคุมโดยตรงจากมนุษย์ผ่านการจับที่ส่วนปลายหรือจุดควบคุม เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประกอบชิ้นส่วนเล็กหรือการตรวจสอบคุณภาพ

Cobot มีความปลอดภัยไหม ?

Cobot ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ในลักษณะที่ปลอดภัยโดยถูกออกแบบด้วยฟีเจอร์ เช่น ระบบจำกัดแรง (Force Limiting) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยจำกัดแรงที่ Cobot สามารถใช้ในการทำงานเพื่อไม่ให้เกินค่าที่กำหนด หากเกิดการชนกับมนุษย์หรือวัตถุ เซ็นเซอร์จะตรวจจับและหยุดการทำงานทันที และเซ็นเซอร์ตรวจจับการชนที่ช่วยป้องกันความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานร่วมกัน

แต่ทั้งนี้การสร้างองค์ประกอบเพื่อการทำงานที่ปลอดภัยเองก็ถูกสะท้อนออกมาได้ทั้ง 6 หัวข้อ ได้แก่

1. การประเมินและออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานร่วมกัน (Creating a Collaborative Environment)

การสร้างพื้นที่ทำงานที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัย พื้นที่ควรมีการกำหนดขอบเขตชัดเจน เช่น การใช้เส้นแบ่งเขตหรือสัญลักษณ์เตือน รวมถึงการออกแบบตามมาตรฐาน ISO/TS 15066 เพื่อให้มั่นใจว่าระยะปลอดภัยได้รับการปฏิบัติตาม การจัดวางตำแหน่งของ Cobot ควรช่วยลดการรบกวนเส้นทางการทำงานของพนักงาน

ข้อกำหนดจากมาตรฐาน ISO/TS 15066

มาตรฐาน ISO/TS 15066 เป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดแนวทางในการใช้งาน Cobot อย่างปลอดภัย โดยเน้นไปที่การประเมินและลดความเสี่ยงในพื้นที่ทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ ตัวอย่างข้อกำหนดที่สำคัญได้แก่ การกำหนดขีดจำกัดแรงและพลังงานที่ Cobot สามารถใช้ได้ การใช้เซ็นเซอร์สำหรับการตรวจจับและควบคุมความเร็ว รวมถึงการออกแบบพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม เช่น การใช้เส้นแบ่งเขตและอุปกรณ์ป้องกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการทำงานร่วมกัน โดยมีหัวข้อหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการลดความเสี่ยง – เน้นการประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ Cobot โดยกำหนดให้ลดความเสี่ยงผ่านการออกแบบที่ปลอดภัยและใช้มาตรการป้องกัน
  • การจำกัดแรงและพลังงาน – ระบุค่าขีดจำกัดแรงและพลังงานที่ Cobot สามารถใช้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสโดยตรงระหว่างมนุษย์และ Cobot
  • การเฝ้าติดตามการแยกพื้นที่ – การตั้งค่าระยะปลอดภัยระหว่าง Cobot และมนุษย์ รวมถึงการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับเพื่อควบคุมความเร็วและระยะห่าง
  • การหยุดการทำงานที่ปลอดภัย – การออกแบบให้ Cobot หยุดทำงานทันทีในกรณีที่มนุษย์เข้าใกล้พื้นที่ทำงาน
  • การออกแบบพื้นที่ทำงานร่วมกัน – ที่ทำงานต้องออกแบบให้มีการระบุเขตพื้นที่อย่างชัดเจน เช่น การใช้เส้นแบ่งเขต การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน และการกำหนดเส้นทางการเคลื่อนที่ของพนักงานและ Cobot

ต้องเตรียมพื้นที่อย่างไรสำหรับการใช้งาน Cobot ทั้ง SME และ LSI

สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (SME) พื้นที่ควรมีการกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจน เช่น การใช้เส้นแบ่งพื้นที่หรืออุปกรณ์กั้นเบา เพื่อแยกโซนการทำงานของ Cobot และพนักงาน ในขณะเดียวกัน ธุรกิจขนาดใหญ่ (LSI) ควรออกแบบพื้นที่ที่มีระบบตรวจจับความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด รวมถึงระบบแจ้งเตือนที่ทำงานแบบเรียลไทม์

2. การฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะสำหรับการทำงานร่วมกับ Cobot (Employee Training and Skill Development)

พนักงานที่ทำงานร่วมกับ Cobot ควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้งานและการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น วิธีปิดการทำงานของ Cobot ในกรณีฉุกเฉิน การฝึกอบรมยังควรครอบคลุมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยลดความกังวลของพนักงานและเพิ่มความมั่นใจในการทำงาน

3. การบริหารจัดการความเสี่ยงในสถานที่ทำงาน (Risk Management in the Workplace)

การประเมินความเสี่ยงควรรวมถึงการวิเคราะห์ปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น การชน การเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด หรือการติดตั้ง Cobot ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม การติดตั้งเซ็นเซอร์และการตั้งค่าขีดจำกัดของการเคลื่อนไหวช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ นอกจากนี้ การตรวจสอบความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างความปลอดภัยในระยะยาว

4. การบำรุงรักษาและตรวจสอบความปลอดภัยของ Cobot (Maintenance and Safety Inspections)

การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ Cobot ทำงานได้อย่างราบรื่น การตรวจสอบประสิทธิภาพ เช่น การทดสอบเซ็นเซอร์ การหล่อลื่นชิ้นส่วน และการอัปเดตซอฟต์แวร์ ควรดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน การมีบันทึกการตรวจสอบจะช่วยติดตามปัญหาและป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น

5. การสร้างความไว้วางใจและความสบายใจในการทำงานร่วมกัน (Building Trust and Comfort in Collaboration)

การออกแบบ Cobot ให้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและคาดการณ์ได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจของพนักงาน นอกจากนี้ การใช้ฟีดแบ็กแบบเรียลไทม์ เช่น ไฟสถานะหรือเสียงแจ้งเตือน จะช่วยให้พนักงานรับรู้ถึงสถานะการทำงานของ Cobot และลดความกังวลในระหว่างการทำงานร่วมกัน

6. การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน (Leveraging Technology for Workplace Optimization)

การใช้เทคโนโลยี Simulation ช่วยจำลองสถานการณ์และวิเคราะห์ผลกระทบของ Cobot ต่อการทำงานจริง เช่น การลดเวลาการผลิตหรือการเพิ่มความปลอดภัยในสายการผลิต การปรับค่าพารามิเตอร์ เช่น ความเร็วหรือแรงที่ใช้ในงานต่าง ๆ จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

แบรนด์ Cobot ยอดนิยมในประเทศไทย

ในตลาดประเทศไทย มีหลายแบรนด์ Cobot ที่ได้รับความนิยมและมีการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น

1. Universal Robots (UR)

เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกและเป็นที่นิยมในประเทศไทย ด้วยความสามารถในการปรับตัวสูง ใช้งานง่าย และเหมาะสำหรับหลากหลายงาน เช่น การประกอบชิ้นส่วน การบรรจุภัณฑ์ และการตรวจสอบคุณภาพสินค้า

2. ABB Robotics

ABB เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น การเชื่อมโลหะ การตรวจสอบคุณภาพด้วยภาพ และการขนส่งวัสดุภายในโรงงาน

3. KUKA Robotics

KUKA มีจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมหนัก เช่น การประกอบในอุตสาหกรรมยานยนต์และการ ขนย้ายวัสดุที่มีน้ำหนักมาก

4. Fanuc

Fanuc มีชื่อเสียงด้านความทนทานและเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับโรงงานที่ต้องการใช้งาน Cobot อย่างต่อเนื่องในกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน

5. Techman Robot

Techman Robot เน้นการใช้งานร่วมกับระบบ AI และการเชื่อมต่อ IoT ทำให้เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการความยืดหยุ่นและการทำงานแบบอัตโนมัติขั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมอาหาร

แบรนด์เหล่านี้มีข้อดีเฉพาะตัวและสามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย เช่น Universal Robots มีราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายพร้อมระบบสนับสนุนหลังการขายที่ครอบคลุมในประเทศไทย ABB Robotics มีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและการบำรุงรักษาระยะยาว ในขณะที่ KUKA Robotics และ Fanuc มีตัวเลือกสำหรับการปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของแต่ละโรงงาน นอกจากนี้ Techman Robot ยังเน้นระบบที่ใช้งานร่วมกับ IoT และ AI ซึ่งเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความล้ำสมัยในการดำเนินงาน การพิจารณาแบรนด์และฟีเจอร์เสริมเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจในประเทศไทยสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องการเลือก Cobot มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

แนวทางเริ่มต้นสำหรับโรงงานหรือ SME ที่ต้องการใช้งาน Cobot

สำหรับโรงงานหรือธุรกิจ SME ที่ต้องการเริ่มใช้งาน Cobot มีขั้นตอนและข้อพิจารณาที่สำคัญ ดังนี้

1. การประเมินความเหมาะสมของงาน

  • วิเคราะห์กระบวนการผลิตหรือการทำงานที่เหมาะสมสำหรับการนำ Cobot มาใช้ เช่น งานที่มีความซ้ำซ้อน หรืองานที่ต้องการความแม่นยำสูง
  • เลือกประเภทของ Cobot ที่เหมาะสมกับงาน เช่น งานประกอบ งานเชื่อม หรือการตรวจสอบคุณภาพสินค้า

2. การเลือกแบรนด์ Cobot ที่เหมาะสม

  • ศึกษาคุณสมบัติของแบรนด์ Cobot ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เช่น Universal Robots, ABB Robotics, KUKA Robotics, Fanuc, และ Techman Robot
  • เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละแบรนด์ เพื่อเลือกแบรนด์ที่ตรงกับงบประมาณและความต้องการของธุรกิจ

3. การออกแบบพื้นที่ทำงาน

  • วางแผนและออกแบบพื้นที่ทำงานร่วมกันให้เหมาะสมกับการติดตั้ง Cobot โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เช่น การใช้เส้นแบ่งเขตหรือเซ็นเซอร์ตรวจจับ
  • ตรวจสอบให้พื้นที่เหมาะสมตามมาตรฐาน ISO/TS 15066 เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

4. การฝึกอบรมพนักงาน

  • จัดโปรแกรมการฝึกอบรมเพื่อให้พนักงานเข้าใจการใช้งาน Cobot อย่างถูกต้องและปลอดภัย
  • สอนวิธีปฏิบัติในกรณีฉุกเฉิน เช่น การหยุดการทำงานของ Cobot ทันที

5. การเริ่มต้นใช้งานแบบทดลอง

  • ทดลองนำ Cobot มาใช้งานในกระบวนการผลิตจริงในช่วงระยะเวลาสั้น เพื่อประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงการใช้งาน
  • ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลการทำงาน เพื่อปรับแต่ง Cobot ให้เหมาะสมที่สุด

6. การบำรุงรักษาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  • วางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์ การหล่อลื่นชิ้นส่วน และการตรวจสอบเซ็นเซอร์
  • พิจารณาการอัปเกรดหรือปรับปรุงระบบเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ

Cobot ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ Cobot ในโรงงานผลิตยานยนต์ที่ช่วยประกอบชิ้นส่วนสำคัญอย่างรวดเร็วและแม่นยำ หรือในธุรกิจขนาดเล็กที่นำ Cobot มาใช้บรรจุภัณฑ์สินค้าเพื่อประหยัดเวลาและลดต้นทุนแรงงาน ความสามารถเหล่านี้ทำให้ Cobot เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการขับเคลื่อนนวัตกรรมในที่ทำงาน การทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนนี้ช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรมและองค์กร การนำ Cobot มาประยุกต์ใช้ด้วยความเข้าใจและการวางแผนที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยพัฒนากระบวนการทำงาน แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ของอนาคตที่มนุษย์และเทคโนโลยีสามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Store Master - Kardex