iscar
iscar
/ai data center technology infrastructure

AI Data Center เทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และแนวโน้มล่าสุด

Date Post
31.03.2025
Post Views

ศูนย์ข้อมูลที่รองรับงานปัญญาประดิษฐ์ (AI Data Center) ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อรองรับเวิร์กโหลดการประมวลผลที่หนักหน่วงกว่าศูนย์ข้อมูลทั่วไปอย่างมาก โดยมีการใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เน้นประสิทธิภาพสูง เช่น หน่วยประมวลผลเฉพาะทางสำหรับงาน AI ระบบจัดเก็บและเครือข่ายความเร็วสูง ตลอดจนระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้เพื่อให้สามารถฝึกสอนโมเดล AI ขนาดใหญ่และประมวลผลแบบขนานได้อย่างมีเสถียรภาพ

องค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมศูนย์ข้อมูล AI

  • หน่วยประมวลผล (Computing Resources) – ใช้หน่วยประมวลผลสมรรถนะสูงที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI เช่น GPU (Graphics Processing Unit) และ TPU (Tensor Processing Unit) แทนที่การใช้แต่ซีพียูแบบดั้งเดิม เพื่อรองรับการประมวลผลแบบขนานของงานเรียนรู้เชิงลึกและโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น
  • ระบบจัดเก็บข้อมูล (Data Storage) – ใช้สถาปัตยกรรมการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงและขยายขนาดได้ รองรับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยเน้นการเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลความเร็วสูง เช่น การใช้ NVMe SSD, ระบบไฟล์แบบกระจาย และ data lakehouse
  • ระบบเครือข่ายความเร็วสูง (Networking) – ออกแบบเครือข่ายภายในศูนย์ข้อมูลให้มีค่า Latency ต่ำ และ แบนด์วิดท์สูง เพื่อให้ GPU/TPU หลายๆ ตัวสามารถประมวลผลร่วมกันแบบขนานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้มักรวมถึงการใช้สายสัญญาณและสวิตช์เฉพาะทางที่รองรับการส่งผ่านข้อมูลความเร็วสูง (เช่น อินเตอร์คอนเน็กต์แบบ NVLink, InfiniBand หรือ Ethernet ความเร็ว 200-400Gbps) ลดคอขวดในการส่งข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์แต่ละชุด
  • ระบบระบายความร้อน (Cooling) – เนื่องจากการติดตั้ง GPU/TPU หนาแน่นทำให้เกิดความร้อนสูง ศูนย์ข้อมูล AI จึงต้องใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูง เช่น ระบบหล่อเย็นด้วยของเหลว (Liquid Cooling) ที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนดีกว่าอากาศ อีกทั้งยังเริ่มมีการออกแบบชั้นวางเซิร์ฟเวอร์และทิศทางลมแบบ Hot/Cold Aisle Containment เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศร้อนและเย็นผสมกัน ลดภาระระบบปรับอากาศ

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูล AI ยังพึ่งพาซอฟต์แวร์เฉพาะทางในการจัดการทรัพยากร เช่น ระบบจัดตารางงาน GPU, ซอฟต์แวร์สำหรับ Distributed Training, เครื่องมือ MLOps และแพลตฟอร์มการจำลองเสมือนที่รองรับการเร่งความเร็วฮาร์ดแวร์ (GPU virtualization) ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้การใช้งานฮาร์ดแวร์เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและรองรับงาน AI ได้หลากหลาย

ศูนย์ข้อมูล AI vs. ศูนย์ข้อมูลทั่วไป

แม้ศูนย์ข้อมูล AI และศูนย์ข้อมูลทั่วไปจะประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานคล้ายกัน (เช่น เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่าย) แต่ ความแตกต่างหลัก มาจากความต้องการของเวิร์กโหลด AI ที่เข้มข้นกว่ามาก ทั้งด้านการประมวลผล การรับส่งข้อมูล และการใช้พลังงาน ศูนย์ข้อมูลทั่วไปมักออกแบบมาสำหรับงานไอทีทั่วไปหรือแอปพลิเคชันธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ CPU เป็นหลัก ในขณะที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับฮาร์ดแวร์สมรรถนะสูงจำนวนมากอย่าง GPU หรือ TPU ที่หากนำไปใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมย่อมเกินขีดความสามารถอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ศูนย์ข้อมูล AI ยังต้องคำนึงถึงการออกแบบระบบระบายความร้อนและพลังงานเป็นพิเศษเพื่อป้องกันปัญหาความร้อนเกินและไฟฟ้าดับจากโหลดที่สูงผิดปกติ

เพื่อความชัดเจน ตารางต่อไปนี้สรุปความแตกต่างระหว่างศูนย์ข้อมูลทั่วไปกับศูนย์ข้อมูล AI ในด้านสำคัญ:

มิติการเปรียบเทียบศูนย์ข้อมูลทั่วไปศูนย์ข้อมูล AI
หน่วยประมวลผลหลักCPU เป็นหลัก อาจมี GPU บ้างสำหรับงานเฉพาะใช้ GPU/TPU จำนวนมากเป็นแกนหลัก เพื่อเร่งงาน AI
เวิร์กโหลด/การประมวลผลแอปทั่วไป, เว็บ, ฐานข้อมูล – ภาระงานกระจายตัวไม่สูงมากงาน Machine Learning/Deep Learning ที่ต้องประมวลผลขนานขนาดใหญ่และต่อเนื่อง 24/7
ความหนาแน่นพลังงานปกติ (ไม่เกิน ~5-10 kW ต่อแร็ค)สูงมาก (อาจเกิน 30-40 kW ต่อแร็ค) ทำให้เกิดความร้อนหนาแน่น
ระบบระบายความร้อนระบายความร้อนด้วยอากาศทั่วไป เพียงพอต่อโหลดมาตรฐานต้องใช้ระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง เช่น Liquid Cooling หรือออกแบบทางเดินลมร้อน/เย็นเฉพาะทาง
ระบบเครือข่ายEthernet มาตรฐาน (ระดับ Gigabit/10Gb)เครือข่ายความเร็วสูงพิเศษ (ต่ำกว่ามิลลิวินาที, แบนด์วิดท์สูงระดับ 100-400Gb) เพื่อลดความหน่วงของ GPU cluster
ขนาดและการขยายตัวขนาดขึ้นกับความต้องการทั่วไป อาจไม่ใหญ่มากมักเป็นระดับ Hyperscale หรือมีพื้นที่มากเป็นพิเศษ เพราะต้องรองรับเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลและการขยายตัวในอนาคต (เช่น 5,000+ เซิร์ฟเวอร์)

จากตารางจะเห็นได้ว่าศูนย์ข้อมูล AI ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับงานประมวลผลขนาดใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูลทั่วไปไม่สามารถรับไหว โครงสร้างพื้นฐานทุกส่วนตั้งแต่ชิปประมวลผลไปจนถึงระบบความเย็นล้วนถูกปรับแต่งใหม่สำหรับงานด้าน AI โดยเฉพาะ

แนวโน้มการเติบโตของศูนย์ข้อมูล AI (2024-2025)

ระดับโลก

ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2024-2025 ทั่วโลก องค์กรต่างๆ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและระบบคลาวด์เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับ เวิร์กโหลด AI ที่เพิ่มสูง โดยผลสำรวจหนึ่งระบุว่า 59% ขององค์กรที่มีแผนด้าน AI ได้เพิ่มงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับงาน AI ที่มากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านคลาวด์และเทคโนโลยีต่างเร่งขยายศูนย์ข้อมูลของตนเพื่อรองรับบริการ AI และ Generative AI เช่น การประกาศสร้าง “AI Supercomputer” หรือเพิ่มศูนย์ข้อมูลความหนาแน่นสูงในภูมิภาคต่างๆ

ความต้องการพลังประมวลผล AI ส่งผลให้ ปริมาณการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น รายงานโดย Goldman Sachs คาดว่า การใช้งานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 165% ภายในปี 2030 อันเนื่องมาจากโหลดงาน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ปัจจุบันทั่วโลกศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้ารวม ~60 กิกะวัตต์ คาดว่าจะพุ่งขึ้นถึง ~171-219 กิกะวัตต์ต่อปี) ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ McKinsey ที่ชี้ว่าความต้องการศูนย์ข้อมูลกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของ AI

แนวโน้มดังกล่าวเห็นได้ชัดจากการลงทุนของบริษัทระดับโลก เช่น Alphabet (Google) ที่ประกาศในเดือนกันยายน 2024 ว่าจะลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในประเทศไทยเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลและภูมิภาคคลาวด์ รองรับความต้องการคลาวด์และการนำ AI มาใช้ที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้​

นอกจากนี้ Microsoft ก็เผยแผนเตรียมเปิดภูมิภาคคลาวด์แห่งแรกในไทยเพื่อขยายบริการคลาวด์และ AI เช่นกัน​

และ Amazon Web Services (AWS) ที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ฯ ในช่วงปี 2022-2037 เพื่อเปิดตัว AWS Region ในไทยภายในปี 2025 ซึ่งจะให้บริการคลาวด์และ AI แก่ลูกค้าในภูมิภาคนี้โดยตรง​

การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทั่วโลกกำลังมุ่งหน้าสู่ยุคที่ศูนย์ข้อมูลถูกขับเคลื่อนด้วยงานด้าน AI เป็นสำคัญ

ในประเทศไทย

อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับกระแสดิจิทัลและ AI ที่เพิ่มขึ้นในทุกภาคส่วน เมื่อเข้าสู่ปี 2024 ธุรกิจไทยหลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มใช้ AI มากขึ้น ทำให้ศูนย์ข้อมูลต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานความสามารถสูง เช่น การติดตั้ง GPU/TPU สำหรับประมวลผล AI และนำโซลูชันวิเคราะห์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เข้ามาช่วยในการดึงคุณค่าจากข้อมูลจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลในประเทศต่างเร่งลงทุน อัปเกรดเป็นโครงสร้างพื้นฐาน HPC (High Performance Computing) ที่พร้อมรองรับเวิร์กโหลด AI มากขึ้นอย่างชัดเจน

นโยบายภาครัฐและการเข้ามาของทุนต่างชาติช่วยหนุนแนวโน้มนี้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น รัฐบาลไทยมีนโยบาย Cloud First และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ทำให้บริษัทต่างชาติอย่าง AWS, Google, Microsoft ตัดสินใจลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในไทย (ดังที่กล่าวข้างต้น) เพื่อให้บริการคลาวด์และ AI แก่ลูกค้าในประเทศโดยมี Latency ต่ำลง และสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านการเก็บข้อมูลในประเทศ​

สำหรับมูลค่าตลาดศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย นักวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตเป็นเลขสองหลักต่อปีไปจนถึงสิ้นทศวรรษนี้ (CAGR ราว 12-13% ในช่วง 2024-2030) ซึ่งจะทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า

ที่โดดเด่นคือเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการศูนย์ข้อมูลล่าสุด โดยได้รับการส่งเสริมจาก BOI (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน). ในเดือนมีนาคม 2025 BOI ได้อนุมัติโครงการศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ 3 โครงการรวมมูลค่าถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท) ซึ่งรวมถึงศูนย์ข้อมูล Hyperscale ขนาด 300MW ในจังหวัดระยองโดยบริษัทเทคโนโลยีจากจีน (มูลค่าลงทุน ~72,700 ล้านบาท) ศูนย์ข้อมูลขนาด 12MW ในกรุงเทพฯ โดยผู้ให้บริการจากสิงคโปร์ และโครงการศูนย์ข้อมูลขนาด 35MW ในชลบุรีโดยบริษัท GSA ของไทย​

การหลั่งไหลของการลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้นนี้ ตอกย้ำว่าไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่รองรับ AI ในภูมิภาคอย่างรวดเร็ว

พลังงานและสิ่งแวดล้อมในศูนย์ข้อมูล AI

ศูนย์ข้อมูลถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานสูง โดยมีการประมาณว่าศูนย์ข้อมูลทั่วโลกมีส่วนสร้างก๊าซเรือนกระจก ~2% ของการปล่อยทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับภาคการบินพลเรือนเลยทีเดียว งานประมวลผล AI ที่รันบน GPU/TPU จำนวนมากในศูนย์ข้อมูล AI ยิ่งทำให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณเมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลทั่วไป ส่งผลให้ผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลต้องตระหนักถึง ผลกระทบด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และหาแนวทางลดการใช้พลังงานต่อหน่วยงานประมวลผล (เพิ่มประสิทธิภาพ PUE – Power Usage Effectiveness) ควบคู่ไปกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของตน

หนึ่งในความท้าทายหลักคือ ความร้อนและการระบายความร้อน: ชิป AI และการจัดวางที่หนาแน่นทำให้เกิดจุดความร้อนสูงเฉพาะจุด การระบายความร้อนแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ ศูนย์ข้อมูล AI ชั้นนำจึงปรับมาใช้ระบบหล่อเย็นด้วยของเหลวและวิธีจัดการความร้อนใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพกว่า ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การใช้ Liquid Cooling ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนและสามารถลดค่า PUE ของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีแนวคิด นำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ (Heat Reuse) เช่น ใช้ความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ไปผลิตพลังงานหรือความร้อนให้ระบบอื่น เพื่อลดการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ (ในยุโรปมีแรงจูงใจด้านกฎระเบียบให้ศูนย์ข้อมูลลงทุนด้านนี้)

ในด้านพลังงานไฟฟ้า หลายองค์กรตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูลของตนเพื่อบรรเทาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่นบริษัท Apple ได้ประกาศว่าตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ศูนย์ข้อมูลทั้งหมดของ Apple ใช้พลังงานจากแหล่งหมุนเวียน 100% (ผ่านการผสมผสานระหว่างเซลล์เชื้อเพลิงชีวภาพ, พลังน้ำ, แสงอาทิตย์ และลม) ขณะที่บริษัทคลาวด์รายใหญ่อื่นๆ เช่น Google, Microsoft, AWS ต่างก็ลงทุนมหาศาลในโครงการโซลาร์ฟาร์มและกังหันลม รวมถึงการซื้อเครดิตพลังงานสะอาด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของตน

สำหรับประเทศไทย ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลหลายรายเริ่มนำพลังงานสะอาดมาใช้เช่นกัน เช่น ETIX Bangkok ศูนย์ข้อมูลในเขตบางชลองที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาขนาด 6,000 ตร.ม. เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง ลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล อีกทั้งบริษัทร่วมทุน GULF-Singtel-AIS (GSA) ซึ่งกำลังพัฒนาศูนย์ข้อมูลขนาด 20MW ที่สมุทรปราการ ก็ประกาศว่าจะเน้นใช้พลังงานสะอาดและระบบบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของอุตสาหกรรมในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของศูนย์ข้อมูล แม้ว่าโหลดงาน AI จะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

บทบาทของ AI ในการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล

ปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นเพียงภาระงานของศูนย์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังกลายมาเป็น เครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล เองด้วย ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลนำระบบ AI/ML มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลด Downtime และบริหารพลังงานอย่างชาญฉลาด ดังหัวข้อสำคัญต่อไปนี้:

  • การบริหารทรัพยากรอัตโนมัติ: AI ช่วยให้การจัดสรรและใช้งานทรัพยากรภายในศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโหลดงานระหว่างเซิร์ฟเวอร์ (Intelligent Load Balancing) หรือการคาดการณ์ความต้องการทรัพยากรล่วงหน้า (Predictive Capacity Planning) จากการวิเคราะห์แนวโน้มข้อมูล ทำให้สามารถเพิ่มหรือลดเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานได้ทันเวลา ป้องกันทั้งปัญหาเครื่องล้นโหลดหรือทรัพยากรเหลือใช้ เกินความจำเป็น ซึ่งนำไปสู่ระบบที่เสถียรและประหยัดพลังงานขึ้น
  • การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance): นี่เป็นหนึ่งในกรณีใช้งาน AI ที่ได้ผลชัดเจนที่สุดในการดูแลศูนย์ข้อมูล โดย AI วิเคราะห์ข้อมูล เซ็นเซอร์และบันทึกระบบ จำนวนมหาศาล เพื่อทำนายล่วงหน้าว่าอุปกรณ์ใดมีแนวโน้มจะเกิดปัญหา เช่น อุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่เริ่มสูงผิดปกติหรือพฤติกรรมการใช้พลังงานของ UPS ที่เปลี่ยนไป เมื่อทราบแต่เนิ่นๆ ผู้ดูแลสามารถซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอะไหล่ก่อนที่จะเกิดเหตุขัดข้อง ลดโอกาส Downtime ได้มาก (มีการศึกษาพบว่าการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ด้วย AI สามารถลด Downtime ที่ไม่คาดฝันลงได้ถึง 50%) ซึ่งนอกจากจะรักษาความต่อเนื่องในการให้บริการแล้ว ยังยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์และลดค่าใช้จ่ายการซ่อมฉุกเฉินลงได้มาก
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: AI ช่วยปรับแต่งการใช้พลังงานของระบบต่างๆ ภายในศูนย์ข้อมูลอย่างละเอียดและทันต่อสถานการณ์ เช่น ปรับระบบทำความเย็นแบบไดนามิก โดยวิเคราะห์อุณหภูมิและโหลดงานจริง เพื่อปรับความแรงของเครื่องทำความเย็นให้เหมาะสม ลดการสิ้นเปลืองพลังงานเมื่อโหลดต่ำ และเพิ่มการระบายความร้อนเมื่อจำเป็นอย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือการลดค่าไฟฟ้าและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ ตัวอย่างที่โด่งดังคือ Google นำระบบ AI ของ DeepMind มาควบคุมเครื่องปรับอากาศในศูนย์ข้อมูล จนสามารถลดพลังงานที่ใช้ในการทำความเย็นลงได้ถึง 40% (ส่งผลให้พลังงานรวมที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลลดลง ~15%) ถือเป็นการประหยัดพลังงานมหาศาลในอุตสาหกรรมนี้ อีกทั้งบางระบบยังสามารถสลับการใช้พลังงานไปมาระหว่างไฟฟ้าสายส่งกับแบตเตอรี่สำรองหรือแหล่งพลังงานทดแทน ตามราคาพลังงานแบบเรียลไทม์ เพื่อประหยัดต้นทุนได้อีกด้วย
  • การตรวจจับและตอบสนองต่อปัญหาอย่างรวดเร็ว: ระบบ AI ถูกนำมาใช้เฝ้าติดตามความปลอดภัยทางไซเบอร์และความผิดปกติของระบบเครือข่ายในศูนย์ข้อมูล หากเกิดความผิดปกติเช่น ทราฟฟิกที่มีรูปแบบน่าสงสัย ซึ่งอาจบ่งชี้การโจมตี หรือประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องที่ลดลงอย่างฉับพลัน AI จะสามารถแจ้งเตือนและดำเนินการเบื้องต้นได้รวดเร็วกว่าการเฝ้าระวังโดยมนุษย์ ป้องกันความเสียหายลุกลามและลดเวลาการแก้ไขปัญหา เมื่อรวมกับความสามารถด้านอื่นๆ ดังที่กล่าวมา AI จึงมีบทบาทสำคัญในการยกระดับ ความต่อเนื่อง, ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่อย่างรอบด้าน

บริษัทที่พัฒนา/ลงทุนด้าน AI Data Center ในประเทศไทย

ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายสำคัญของการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน AI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งจากบริษัทไทยและต่างชาติ ต่อไปนี้คือรายชื่อบริษัท/โครงการที่โดดเด่นซึ่งมีการพัฒนา ลงทุน หรือดำเนินการเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูล AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายละเอียด:

  • Amazon Web Services (AWS): ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ของโลก ประกาศเปิดตัว AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ภายในปี 2025 โดยลงทุนมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (≈1.9 แสนล้านบาท) ในช่วง 15 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในไทย สนับสนุนการใช้งานบริการขั้นสูงอย่าง AI/ML, IoT และอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าภาครัฐและเอกชนในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ​ (AWS Region ใหม่นี้จะมีอย่างน้อย 3 Availability Zone ในประเทศไทย)
  • Google Cloud: ในปี 2024 Google ได้ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (≈36,000 ล้านบาท) เพื่อสร้าง Google Cloud Region และศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในไทย โดยตั้งโซนคลาวด์ที่กรุงเทพฯ และสร้างศูนย์ข้อมูลที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรี คาดว่าจะสร้างงาน 14,000 ตำแหน่งต่อปีจนถึงปี 2029 การลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรองรับความต้องการคลาวด์ที่เติบโตขึ้นและผลักดันการนำ AI มาใช้ในภูมิภาคอาเซียน​ (สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐไทยที่ต้องการเป็น Digital Hub)
  • Microsoft: ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอีกรายที่เตรียมเปิดตัว ศูนย์ข้อมูลคลาวด์ (Azure Region) แห่งแรกในประเทศไทย โดยได้ประกาศแผนดังกล่าวเมื่อกลางปี 2024 ซึ่งจะช่วยยกระดับบริการคลาวด์ของ Microsoft ในไทย รองรับลูกค้าองค์กรที่ต้องการใช้บริการ Azure AI, Analytics และคลาวด์อื่นๆ ในโซนที่ตั้งอยู่ภายในประเทศ​

  • Huawei Cloud: บริษัทเทคโนโลยีจากจีนที่ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในไทยมายาวนาน ปัจจุบัน Huawei Cloud เป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายแรกและรายเดียวที่มีศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยถึง 3 แห่ง (เปิดที่ EEC ในปี 2018, กรุงเทพฯ ปี 2019 และเตรียมเปิดแห่งที่สาม) โดยในการสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งที่สาม Huawei ได้ลงทุน 700 ล้านบาท ทำให้ Huawei มีขีดความสามารถรองรับงานคลาวด์และ AI ในไทยมากขึ้น และตอกย้ำความมุ่งมั่นที่ต้องการช่วยผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน​

  • GULF - Singtel - AIS (บริษัทร่วมทุน GSA): กลุ่มพันธมิตรไทย-สิงคโปร์-ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ของไทย ร่วมลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกว่า 20 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดสมุทรปราการ มีกำหนดเปิดบริการปี 2568 (2025) โครงการนี้เน้นการใช้เทคโนโลยีทันสมัยและพลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง รองรับกลุ่มลูกค้าองค์กรและผู้ให้บริการคลาวด์ทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าศูนย์ข้อมูลจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2025 ตามแผน นอกจากนี้ล่าสุด (มี.ค. 2025) GSA ยังได้รับอนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงการศูนย์ข้อมูล 35MW ที่จังหวัดชลบุรี เพิ่มเติม (มูลค่า ~13,500 ล้านบาท) สะท้อนถึงแผนการขยายธุรกิจ Data Center อย่างต่อเนื่องของกลุ่มนี้​
  • NTT Ltd. (Thailand): บริษัทไอทีและผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ได้เริ่มก่อสร้าง Bangkok 3 Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่มาตรฐาน Tier III ในกรุงเทพฯ ด้วยงบลงทุนประมาณ 90 ล้านดอลลาร์ฯ ศูนย์ข้อมูลนี้จะมีความจุไฟฟ้าไอที 12MW บนพื้นที่ ~4,000 ตร.ม. และมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าที่มองหาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ AI และงานประมวลผลประสิทธิภาพสูงในประเทศไทย
  • SUPERNAP (Thailand): ผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลมาตรฐาน Tier IV จากสหรัฐฯ ที่เข้ามาลงทุนตั้ง SUPERNAP Data Center ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งเปิดดำเนินการในปี 2017 และยังคงเป็นหนึ่งในศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในไทย ปัจจุบัน SUPERNAP Thailand เป็นศูนย์ข้อมูล Multi-tenant Tier IV เพียงแห่งเดียวในภูมิภาคที่รองรับ ความหนาแน่นการใช้พลังงานสูงถึง ~33kW ต่อแร็ค เหมาะสำหรับงาน High Performance Computing และ AI โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังให้บริการคลาวด์และโซลูชัน GPU-as-a-Service แก่ลูกค้าธุรกิจที่ต้องการเช่าใช้งานทรัพยากร AI โดยไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอง

นอกจากรายชื่อข้างต้น ยังมีผู้เล่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Alibaba Cloud ที่คาดว่าจะเข้ามาลงทุนศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ใน EEC (โดยบริษัทจีนที่เกี่ยวข้องได้รับการอนุมัติลงทุน 300MW ในระยองดังกล่าว) รวมถึงผู้ให้บริการไทยรายอื่นๆ อย่าง True IDC, TCC Technology และ CAT/NT ที่ต่างก็ขยายขีดความสามารถของศูนย์ข้อมูลตนเองเพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้

ศูนย์ข้อมูล AI กำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของโลกดิจิทัลยุคใหม่ ทั้งเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์ที่ใช้ โครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบพิเศษ การเติบโตของตลาด และการบริหารจัดการด้วย AI เอง ล้วนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2024-2025 ทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ภาคธุรกิจต่างตื่นตัวที่จะใช้ประโยชน์จาก AI ขณะที่ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานก็เร่งปรับตัวเพื่อให้รองรับคลื่นความต้องการใหม่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ผู้ที่สามารถผสานรวมเทคโนโลยีและการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดจะครองความได้เปรียบในยุคของศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะอย่างแท้จริง

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
TAPA 2025