Kosmo

‘คุณภาพอากาศ’ ตัวแปรสำคัญสำหรับ Productivity ของแรงงานในธุรกิจอุตสาหกรรม

Date Post
07.12.2022
Post Views

‘อากาศ’ หนึ่งในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์เองไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขาดไปได้นั้น ส่งผลโดยตรงต่อ Productivity ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความปลอดภัย ต้นทุน และคุณภาพการผลิต การดูแลอากาศในพื้นที่การผลิตให้สะอาดและปลอดภัยจึงเป็นการรักษาความสามารถในการผลิต ทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของธุรกิจไปได้ในเวลาเดียวกัน

สิ่งแวดล้อมนั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ Productivity ในการทำงานมาอย่างยาวนาน ซึ่งในท้ายที่สุดความสามารถในการผลิตเหล่านี้ก็จะส่งผลไปถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เวลา’ และในกรณีของวัตถุดิบที่มีอายุสั้นก็จะนำไปสู่สถานการณ์ทุนจมอีกด้วย ซึ่งในกรณีของสิ่งแวดล้อมก็สามารถแบ่งประเด็นออกไปได้อย่างมากมายตั้งแต่ความสะอาดในพื้นที่ เรื่องของน้ำ อุณหภูมิ ฯลฯ และในวันนี้อยากจะชวนคุยกันในเรื่องของ ‘คุณภาพอากาศ’ กันครับ

ผลกระทบต่อ Productivity จาก ‘คุณภาพอากาศ’ ในพื้นที่ทำงาน

ต้องยอมรับว่า ‘อากาศ’ นั้นเป็นปัจจัยที่มนุษย์จะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างไรก็ไม่อาจทำได้ เพราะอากาศนั้นถือเป็นเงื่อนไขสำคัญในการดำรงอยู่ของมนุษย์ ทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับอากาศในแง่มุมหรือบริบทต่าง ๆ ล้วนส่งผลต่อมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม 

ข้อมูลจาก IZAR World of Labour แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาในการทำงานของแรงงาน ได้นำเสนอข้อมูลจากการศึกษาคุณภาพอากาศในที่ทำงานชื่อ ‘Air pollution and worker productivity’ แสดงให้เห็นว่าการมีมลภาวะปนเปื้อนในอากาศสูงยิ่งลด Productivity ในการทำงานแม้ว่าจะมีในปริมาณไม่มากนักก็ตาม โดยมี 5 ประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. การยกระดับคุณภาพอากาศนำไปสู่การเพิ่ม Productivity ของแรงงานได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
  2. คุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของแรงงานหรือจำนวนชั่วโมงทำงานภายใต้การทำงานทั่วไป
  3. มาตรฐานคุณภาพอากาศที่ลดระดับมลภาวะนำไปสู่การเพิ่ม Productivity ของแรงงาน
  4. คุณภาพของสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ส่งผลต่อการลดรายได้ของแรงงานในกรณีที่ค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการทำงาน
  5. การควบคุมคุณภาพอากาศตามมาตรฐานและคำแนะนำช่วยลดการเสื่อมถอยของ Productivity แรงงานจากปัญหาด้านคุณภาพอากาศได้

ผลกระทบด้าน Productivity ซึ่งเกิดขึ้นจากคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่นั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยที่หลากหลาย แต่สำหรับประเด็นที่พบเจอบ่อยครั้งและมีความน่าสนใจ ได้แก่

สุขภาพ

ในพื้นที่การผลิตหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงาน คุณภาพของอากาศนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบหายใจของผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขึ้นอยู่กับสารเคมีหรืออนุภาคที่สูดดมเข้าไป อาทิ การสูดดมฝุ่นทำให้เกิดภูมิแพ้ การสูดดมสารเคมีทำให้เกิดปัญหากับระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ไปจนถึงการก่อให้เกิดมะเร็งในระบบทางเดินหายใจจากการสูดดมสารเคมีเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน ในกรณีของสารเคมีที่มีความรุนแรงอาจทำให้แรงงานในพื้นที่หมดสติได้

ลดทอนความสามารถของเครื่องมือ

ในกรณีของเครื่องมือที่ใช้ในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการขัดผิวอย่างกระดาษทรายหรือการใช้งานแขนกล คุณภาพอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงจะลดความสามารถในการทำงานของเครื่องมือ ในกรณีของกระดาษทราย การที่มีฝุ่นผงสะสมอยู่เป็นจำนวนมากจะลดความสามารถในการขัดพื้นผิว ทำให้ต้องเปลี่ยนใบขัดบ่อยขึ้นเพื่อให้ทำงานได้ในปริมาณเท่าเดิมส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองตามมา หรือในกรณีของหุ่นยนต์แขนกล ระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำในระดับสูง

เพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุอันไม่คาดคิด

คุณภาพอากาศนั้นสามารถส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุในสถานที่ทำงานได้ ซึ่งหลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น การระเบิดของฝุ่นผงที่ติดไฟได้ในอากาศ หรือการหมดสติขณะใช้งานเครื่องจักรที่มีความอันตรายสูงซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรได้

เลือกใช้เทคโนโลยีที่ใช่ แก้ไขปัญหา ‘คุณภาพอากาศ’ อย่างยั่งยืน

ปัญหาคุณภาพอากาศที่เกิดขึ้นในโรงงานนั้นเป็นผลมาจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นหลัก ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาตินั้นเรียกได้ว่าเป็นสัดส่วนที่มีเพียงเล็กน้อย การทำงานในพื้นที่เปิดหรือพื้นที่ที่มีการระบายอากาศสูงนั้นเรียกว่ามีความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง ในขณะที่การทำงานภายในอาคารหรือพื้นที่ปิดมีความเสี่ยงในประเด็นของคุณภาพอากาศที่มากกว่า

เมื่อปัญหาด้านคุณภาพอากาศในโรงงานนั้นเกิดจากกิจกรรมของโรงงานเอง มาตรการและเทคโนโลยีที่ใช้จึงต้องมีความสอดคล้องกับเงื่อนไขเหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยในการแก้ปัญหาสำหรับคุณภาพอากาศที่เกิดขึ้นในโรงงานนั้นมักใช้งานเทคโนโลยีในการกรองอากาศเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีการกรองอากาศสำหรับโรงงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

ฟิลเตอร์กรอง

เทคโนโลยีที่ใช้ในการกรองอากาศนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบกรองอากาศเลยก็ว่าได้ การเลือกใช้ชนิดตัวกรองที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของโรงงานเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดความปลอดภัยและ Productivity เช่น การกรองฝุ่นผงทั่วไปในโรงงานอาจใช้เพียงตัวกรองพื้นฐานก็อาจจะเพียงพอแล้ว แต่ในการกรองอากาศสำหรับโรงงานเคมีภัณฑ์นั้นอาจต้องการตัวกรองที่มีคุณสมบัติในการดักกลิ่น ดักสารเคมีที่เป็นอันตราย เป็นต้น สำหรับตัวกรองยุคใหม่ที่ใช้กันอยู่ในตลาดเริ่มมีการพัฒนาให้เป็น IIoT มากยิ่งขึ้น ในลักษณะของ Connected Filter ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์คล้ายเครื่องจักร ทำให้สามารถติดตามค่าและสถานะการทำงานได้อย่างละเอียด ส่งผลให้เกิดการวางแผนและบริหารจัดการล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยคุณสมบัติของการใช้ประโยชน์จากข้อมูลแบบ Real-time

ถังสำหรับกักเก็บฝุ่นผง

ถัดจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการกรองฝุ่นผงและสิ่งปนเปื้อนในอากาศนั้น คือ ส่วนที่ใช้ในการจัดเก็บฝุ่นผงชั่วคราว การจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพนั้นนอกจากจะเป็นการปกป้องพื้นที่จากการปนเปื้อนแล้ว ในกรณีของฝุ่นผงหรือสารที่มีอันตรายซึ่งอาจเกิดระเบิดได้ ส่วนสำหรับการจัดเก็บเหล่านี้อาจเรียกได้ว่ามีความสำคัญที่มากกว่าส่วนของการกรองเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น การกักเก็บฝุ่นผงระเบิดที่มาจากโลหะความร้อนสูง แชมเบอร์หรือส่วนที่กักเก็บต้องถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการระเบิดที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสะสมความร้อนที่เกิดขึ้น เป็นต้น

อุปกรณ์สำหรับบริหารจัดการพลังงาน

เรื่องของการใช้พลังงานเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผู้ผลิตหลายคนตระหนักและให้ความสำคัญ ในกระบวนการจัดการกับคุณภาพอากาศเองการบริหารจัดการพลังงานที่คุ้มค่าและเหมาะสมถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ประกอบการมักให้การพิจารณา เพราะการใช้พลังงานไฟฟ้ากว่า 70% ของโรงงานมักเกิดขึ้นกับมอเตอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะพัดลม คอมเพรซเซอร์ ไปจนถึงงาน Material Handling ซึ่งรวมไปถึงระบบกรองอากาศในงานอุตสาหกรรมอีกด้วย

ในการกรองอากาศสำหรับธุรกิจที่มีความจำเพาะเจาะจง คุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับธรรมชาติของธุรกิจเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณา ในที่นี้ขอยกตัวอย่างกลุ่มโลหะที่ต้องมีการเชื่อมอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ และธุรกิจแปรรูปไม้ที่ต้องมีการขัดผิวต่าง ๆ

ในการเชื่อมโลหะนั้นจะเกิดไอระเหยซึ่งเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจขึ้นมา โดยหลัก ๆ มักจะเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และสารระเหยที่เป็นพิษอื่น ๆ จะขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะ อุปกรณ์ที่ใช้ในการดูดไอระเหยและกักเก็บ จึงสามารถกรองไอระเหยเหล่านี้ได้อย่างหมดจด เช่นเดียวกับโซลูชันการกรองอากาศ MCP SmartFilter จาก Nederman ซึ่งเป็นระบบการกรองอเนกประสงค์ที่รองรับการเคลื่อนไหวของอากาศได้มากถึง 28,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับควัน ไอระเหย และฝุ่นผง ไม่ว่าจะเป็นงานเชื่อมโลหะ การตัดโลหะ และฝุ่นผงทั่วไป โดยตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้มีระบบทำความสะอาดอัจฉริยะ มีตัวกรองที่มีอายุยืนยาว ทั้งยังรองรับ IoT ทำให้สามารถควบคุมและใช้งานผ่านเครือข่ายได้ง่ายอีกด้วย ในขณะที่แขนดูดควัน Nederman FX2 ที่สามารถขยับได้อิสระ 360 องศาทำให้การปรับตำแหน่งดูดไอระเหยสามารถเข้าใกล้จุดเชื่อมได้มากที่สุด ลดการหลุดรอดของสารพิษเข้าไปในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะที่อุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญหน้ากับฝุ่นผงซึ่งสามารถระเบิดได้ ถือว่ามีความเสี่ยงในความสูญเสียที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าปัญหาคุณภาพด้านอากาศอื่น ๆ ซึ่งฝุ่นผงระเบิดนี้พบเจอได้ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ แปรรูปอาหารอย่างขนมปัง หรืออุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีการขัดผิววัสดุละเอียด เทคโนโลยีที่ต้องใช้งานสำหรับการจัดการกับฝุ่นผงระเบิดจึงต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน ATEX ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการใช้งานสำหรับวัสดุที่อาจเกิดระเบิดได้ โดย FlexFilter EX จาก Nederman เป็นระบบการจัดเก็บฝุ่นผงระเบิดที่ได้รับมาตรฐาน ATEX Directives 2014/34/EU จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน พื้นที่ หรือทรัพย์สินอื่นใด

การเลือกใช้เครื่องมือสำหรับกรองอากาศในโรงงานอุตสาหกรรมที่เหมาะสมนั้น หากได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในระบบกรองอากาศของโรงงานจะช่วยให้การกรองอากาศที่เกิดขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพิ่มความปลอดภัย ความคุ้มค่าด้านต้นทุนในการใช้งาน ไปจนถึงความสามารถในการเพิ่ม Productivity ที่เป็นผลจากคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับเงื่อนไขในการประเมินการเติบโตของธุรกิจในยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย ความรับผิดชอบต่อ Stakeholder และการประเมินความยั่งยืนอีกด้วย

ภายใต้เงื่อนไขความต้องการดังกล่าว Nederman ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบกรองอากาศระดับสากลที่มีพร้อมทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากทั่วโลก มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานนานาชาติและบริการที่เรียกได้ว่าผู้ผลิตชั้นนำของโลกต่างไว้วางใจ

Nederman นวัตกรรมด้านระบบกรองอากาศโรงงานที่ครบเครื่องที่สุด!

Nederman นั้นก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจในปี 1944 โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาโซลูชันด้านการดูแลควบคุมคุณภาพอากาศโดยเฉพาะ บริษัทได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีการเข้าซื้อกิจการด้านการกรองอากาศที่มีศักยภาพ ทำให้บริษัทขยายตัวขึ้นกว่า 2 เท่า กลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการกรองอากาศในระดับสากลที่ผู้ผลิตชั้นนำต่างให้ความไว้วางใจ

ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานมากกว่า 75 ปี Nederman จึงมีความเข้าใจในเงื่อนไขและความต้องการที่แตกต่างกันไปในการควบคุมคุณภาพอากาศของแต่ละธุรกิจ สำหรับฝุ่นผงระเบิดซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ ‘พิเศษ’ Nederman ได้พัฒนาโซลูชันและเครื่องมือที่เหมาะสมภายใต้มาตรฐานสากลขึ้นมาเพื่อให้ผู้ผลิตสามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ เรียกได้ว่าในเรื่องของฝุ่นผงระเบิดนั้นชื่อของ Nederman ถือเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลกอย่างแน่นอน

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านระบบระบายอากาศจึงได้ทำการพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขความต้องการของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น โซลูชัน SmartFilter ที่เป็นการยกระดับกระบวนการกรองอากาศแบบเดิมด้วยเซนเซอร์สมัยใหม่ Insight Control ระบบที่ช่วยเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์และนำเสนอให้สามารถเข้าใจได้ง่าย และ Insight Platform แพลตฟอร์ม IIoT ที่ถูกออกแบบมาสำหรับระบบกรองอากาศโดยเฉพาะ ตอบสนองต่อการทำงานแบบ Real-time ด้วยข้อมูลที่แสดงผลเป็นภาพ สะดวกรวดเร็วต่อการตัดสินใจ ไปจนถึงระบบแจ้งเตือนและระบบทำรายงาน

เพิ่ม Productivity ของแรงงานในวันนี้ด้วยคุณภาพของอากาศที่ดียิ่งขึ้น พร้อมกับปกป้องสินทรัพย์และต้นทุนที่เกิดจากปัญหาด้านมลภาวะในอากาศของสายการผลิต ติดต่อ Nederman เพื่อปรึกษาปัญหาและความต้องการด้านคุณภาพอากาศในโรงงานกับตัวจริงด้านคุณภาพอากาศที่ผู้ผลิตแนวหน้าต่างให้การยอมรับ

สนใจปรึกษา ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

บริษัท เนเดอร์แมน เอส.อี.เอ. จำกัด

ที่อยู่: 700/964 หมู่ที่ 7 ต. ดอนหัวฬ่อ อ. เมือง จ. ชลบุรี 20000
โทรศัพท์: 033-674600
E-Mail: [email protected]
Website: www.nederman.com
Facebook: Nederman SEA
LinkedIn: Nederman

Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire