SIEMENS
Thai Murata
automation expo 2025 net zero technologies

Net Zero Navigator เทคโนโลยีเพื่อนำทางองค์กรสู่ความยั่งยืน

Date Post
26.03.2025
Post Views

ในงาน Automation Expo 2025 มีการบรรยายหัวข้อ ““Technologies to Support Carbon Footprint Monitoring ขับเคลื่อนองค์กรสู่ Net Zero ด้วยเทคโนโลยี”” โดยคุณรวีวรรณ เงียบประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ธุรกิจจาก Mekha V ซึ่งเนื้อหาการบรรยายได้ถ่ายทอดภาพรวมและแนวทางสำคัญในการใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้กลายเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักขององค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ การบรรลุเป้าหมาย Net Zero จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น และเทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ให้เป็นจริง

เหตุผลที่องค์กรต้องเดินหน้าสู่ Net Zero

การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Mitigation)

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายเร่งด่วนของมนุษยชาติที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้น การเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงถี่ขึ้น เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุ รวมถึงผลกระทบทางสุขภาพของประชาชน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของทุกประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนขนาดใหญ่ การดำเนินการด้าน Climate Change Mitigation ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบเชิงสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการปรับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อสังคมโลกกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเต็มรูปแบบ

การเตรียมพร้อมรับนโยบายควบคุมคาร์บอน (CBAM, Climate Change Act, ETS)

ภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศได้ออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและกลไกราคาเพื่อควบคุมการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวดมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่ไม่มีมาตรการลดคาร์บอนเพียงพอ ส่งผลให้ผู้ส่งออกจากไทยต้องเร่งลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อหลีกเลี่ยงภาระต้นทุนใหม่ในอนาคต

ในระดับประเทศ ร่างพระราชบัญญัติ Climate Change Act ของไทยกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมบังคับใช้ภายในปีงบประมาณ 2568 เพื่อจัดตั้งระบบ ETS (Emission Trading Scheme) ซึ่งจะเป็นกลไกตลาดในการซื้อ-ขายสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนของแต่ละองค์กร การเตรียมความพร้อมในด้านข้อมูล การรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และการปรับตัวของกระบวนการผลิตให้ปล่อยคาร์บอนน้อยลง จึงเป็นหัวใจสำคัญที่องค์กรทุกแห่งต้องเร่งดำเนินการ

ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของสินค้าและบริการที่ตนเลือกใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีพฤติกรรมการซื้อซึ่งเน้นความโปร่งใส การรับผิดชอบต่อสังคม และแนวคิด Circular Economy องค์กรที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดคาร์บอนและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะได้รับความไว้วางใจและความนิยมจากตลาดมากกว่าแบรนด์คู่แข่งที่ไม่มีแนวทางด้านความยั่งยืนอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ บริษัทข้ามชาติหลายแห่ง เช่น Scania, Amazon และแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ได้กำหนดข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ให้แสดงข้อมูลการปล่อยคาร์บอนของสินค้าทุกรายการ ซึ่งทำให้การจัดการคาร์บอนกลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันและเป็นใบเบิกทางสู่การขยายตลาดในระดับสากล องค์กรที่สามารถสื่อสารผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือในระยะยาว

เข้าใจคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ใน 3 ขอบเขต

  • Scope 1 การปล่อยโดยตรงจากกิจกรรมภายในองค์กร เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในหม้อไอน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล หรือกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนโดยตรง เป็นการปล่อยที่องค์กรสามารถควบคุมได้อย่างชัดเจน
  • Scope 2 การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงานที่ซื้อมา เช่น ไฟฟ้า ความร้อน หรือความเย็น แม้องค์กรจะไม่ได้เป็นผู้ปล่อยโดยตรง แต่ต้องรับผิดชอบคาร์บอนที่เกิดจากการผลิตพลังงานนั้น ๆ เช่น การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • Scope 3 การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นภายในองค์กรโดยตรง เช่น การขนส่งวัตถุดิบ การเดินทางของพนักงาน การจัดการของเสียจากผลิตภัณฑ์ การใช้สินค้าโดยลูกค้า หรือการลงทุนในกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอน เป็นขอบเขตที่วัดผลยากที่สุด แต่สะท้อนภาพรวมของผลกระทบที่แท้จริงในห่วงโซ่อุปทานขององค์กร

Roadmap การลดคาร์บอนในภาคการผลิต (Decarbonizing Manufacturing)

  • ตั้งเป้าโดย CFO ร่วมกับ CFP การลดคาร์บอนจำเป็นต้องเริ่มจากระดับนโยบาย โดย Chief Financial Officer (CFO) และ Carbon Footprint Planner (CFP) ต้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน เช่น ลดการปล่อยคาร์บอนลงกี่เปอร์เซ็นต์ภายในเวลากี่ปี พร้อมทั้งวางแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่รองรับเป้าหมายนั้นอย่างเป็นรูปธรรม
  • กำหนดกระบวนการติดตาม วิเคราะห์ และรายงานคาร์บอนอย่างเป็นระบบ การจัดการคาร์บอนจะต้องมีระบบติดตามผลที่โปร่งใส โดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลคาร์บอนจากแหล่งต่าง ๆ ทั้ง Scope 1-3 จากนั้นนำมาวิเคราะห์และจัดทำรายงานที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจได้ทันที เช่น แสดงจุดที่ปล่อยคาร์บอนสูงที่สุด หรือหน่วยงานที่ยังไม่มีการปรับปรุงกระบวนการ
  • เริ่มจากโครงการนำร่อง (Pilot Project) และขยายสู่ทั้งองค์กร การดำเนินการลดคาร์บอนควรเริ่มจากการทดลองในพื้นที่ขนาดเล็กหรือโรงงานใดโรงงานหนึ่งก่อน เพื่อประเมินความพร้อมของข้อมูล บุคลากร และระบบ เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีจึงค่อยขยายผลไปยังหน่วยงานอื่นอย่างเป็นระบบ
  • ใช้แพลตฟอร์มอย่าง CarbonNote และระบบ IIoT ในการติดตามแบบ Real-time การใช้แพลตฟอร์มเช่น CarbonNote ร่วมกับเทคโนโลยี IIoT (Industrial Internet of Things) ช่วยให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากเครื่องจักร เซนเซอร์ และระบบควบคุมพลังงานต่าง ๆ มาอยู่บนระบบกลางที่แสดงผลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้องค์กรมองเห็นปริมาณการปล่อยคาร์บอนในแต่ละหน่วยงานได้ชัดเจน และสามารถวางแผนปรับปรุงหรือแก้ไขได้อย่างแม่นยำ

Digital Transformation (Dx) กับการลดคาร์บอน

Digital Transformation คือการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับปรุงกระบวนการทำงานและการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

  • Automation: หุ่นยนต์ AMR, ระบบอัตโนมัติในโรงงาน
  • IoT: เชื่อมต่อข้อมูลจากอุปกรณ์และเครื่องจักรสู่แพลตฟอร์มคลาวด์
  • AI: ตรวจจับความผิดปกติ การใช้พลังงานเกิน หรือการรั่วไหลของก๊าซ
  • Paperless: ลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง เปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล

เทคโนโลยี AI จาก AI ดั้งเดิมสู่ Generative AI

  • Traditional AI ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การคาดการณ์แนวโน้มการใช้พลังงาน วิเคราะห์ความผิดปกติในสายการผลิต และการวางแผนซ่อมบำรุงล่วงหน้า (Predictive Maintenance) โดยอาศัยข้อมูลในอดีตและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ระบบสามารถแจ้งเตือนก่อนที่เครื่องจักรจะขัดข้องหรือเกิดความสูญเสีย
  • Generative AI ก้าวข้ามจากการวิเคราะห์ไปสู่การ “สร้าง” ข้อมูล เช่น การสร้างรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์อัตโนมัติจากข้อมูลจริง การสร้างภาพจำลองกระบวนการผลิต หรือการสร้างข้อมูลสังเคราะห์เพื่อลดข้อจำกัดของข้อมูลในโลกจริง นอกจากนี้ยังสามารถตอบคำถามเชิงวิเคราะห์จากผู้ใช้งานผ่านภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) และสื่อสารข้อมูลผ่านภาพ เสียง หรือวิดีโอได้
  • Knowledge Graph ทำหน้าที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ขององค์กรในรูปแบบของแผนภูมิข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ เช่น เครื่องจักร พลังงาน วัตถุดิบ หรือขั้นตอนการผลิต ช่วยให้ AI สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อนได้แม่นยำมากขึ้น เข้าใจบริบทเฉพาะของแต่ละโรงงาน และสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรม 4.0 พื้นฐานของการลดคาร์บอนแบบยั่งยืน

  • เชื่อมโยงระบบการผลิตและบริการเข้ากับระบบดิจิทัลอย่างครบวงจร เพื่อเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างแท้จริง ซึ่งเน้นการใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (data-driven) และทำให้การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมเกิดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
  • เชื่อมต่อเครื่องจักรทุกเครื่องเข้าสู่ IoT การติดตั้งเซนเซอร์และอุปกรณ์ IoT บนเครื่องจักรช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลแบบ Real-time ทั้งในด้านพลังงาน ประสิทธิภาพ ความร้อน หรือการทำงานผิดปกติ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังระบบกลางเพื่อประมวลผล และใช้ประกอบการตัดสินใจในการลดคาร์บอนอย่างแม่นยำ
  • จัดเก็บ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลด้วยระบบ Cloud เทคโนโลยี Cloud ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายระบบในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการผลิต ข้อมูลพลังงาน หรือข้อมูลคาร์บอน ทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มและระบุจุดที่ควรปรับปรุงได้แบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งสร้างแดชบอร์ดเพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมและสามารถติดตามความคืบหน้าของเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างต่อเนื่อง
  • บูรณาการ AI และ Automation ให้กลายเป็นระบบควบคุมพลังงานที่ชาญฉลาด เมื่อระบบสามารถเก็บข้อมูลแบบอัตโนมัติและต่อเนื่อง AI จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และควบคุมกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายการประหยัดพลังงาน เช่น การปรับโหลดการทำงานของเครื่องจักร การควบคุมอุณหภูมิภายในระบบ หรือการสั่งปิดการทำงานบางส่วนในช่วงเวลาที่ไม่มีความจำเป็น ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานโดยไม่กระทบประสิทธิภาพ และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงงานได้อย่างยั่งยืน

การขับเคลื่อนองค์กรสู่ Net Zero ไม่สามารถพึ่งพาแค่ความตั้งใจ แต่ต้องมีระบบ เทคโนโลยี และข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นโครงสร้าง ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวัดผล ไปจนถึงการลดและชดเชยคาร์บอน เทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นทั้งเครื่องมือและพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในเส้นทางสู่ความยั่งยืน

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
งานสถาปนิก 2025