Data-Sciences

ทำไม Data-Sciences ถึงเข้ามามีบทบาทในภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

Date Post
08.11.2024
Post Views

Key
Takeaways
  • การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วย Data Science – Data Science ช่วยให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมมีความแม่นยำมากขึ้น โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดค่าใช้จ่าย และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
  • บทบาทที่แตกต่างกันในวงการ Data – อธิบายหน้าที่และทักษะของตำแหน่ง Data Scientist, Data Analyst, Data Engineer และ Data Architect เพื่อให้เข้าใจการทำงานร่วมกันในระบบข้อมูล
  • เทรนด์ใหม่และนวัตกรรมใน Data Science – การนำเทคโนโลยีอย่าง Generative AI, Deep Learning และ Reinforcement Learning มาใช้ ช่วยให้อุตสาหกรรมพัฒนาการวิเคราะห์ขั้นสูง ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเราได้เจาะลึกบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็น CNN หรือ Convolutional Neural Networks และ  Federated Learning ที่ช่วยสร้างความชาญฉลาดให้ระบบการผลิตของเรา โดยสิ่งที่เป็นดั่งเชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงกระบวนการเหล่านี้ คงหนีไม่สิ่งที่เรียกว่า Big Data โดยในบทความนี้เราจะมาแนะนำอีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่ทำหน้าที่ดึงพลังจากข้อมูลนั้นออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นก็คือ Data Science

Data Scientist เปรียบเสมือนช่างตีดาบฝีมือดี ที่คอยพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อให้ดาบที่พวกเขาสร้างมีความคมกริบเหนือกว่าดาบเล่มใดในอุตสาหกรรม ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยอย่าง Machine Learning, AI และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่มีโมเดลทางคณิตศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง Data Science ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ปรับปรุงกระบวนการอย่างชาญฉลาด และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

ภาพรวมของ Data Science เป็นอย่างไร ?

Data Science เป็นการศึกษาวิธีการรวบรวม วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจเชิงลึก ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีและเทคนิคขั้นสูง เช่น การทำเหมืองข้อมูล (Data Mining) การวิเคราะห์ข้อมูล การใช้ Machine Learning และ AI เพื่อค้นหาคำตอบที่ซับซ้อนและคาดการณ์แนวโน้มที่เป็นไปได้ในอนาคต Data Science จึงมีความสำคัญในการช่วยสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรม

ความแตกต่างระหว่าง Data Science และอาชีพ Data แขนงอื่น ๆ

ในวงการข้อมูล บทบาทที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลมักถูกเข้าใจผิดว่าเหมือนกัน แต่อาชีพเหล่านี้มีหน้าที่และเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. Data Scientist
    • ใช้ทักษะการวิเคราะห์ การคาดการณ์ และเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Machine Learning และ AI เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ
    • ทักษะหลัก การสร้างและทดสอบโมเดล การทำ Data Mining และการตั้งสมมติฐานเชิงลึก
  2. Data Analyst
    • แยกแยะข้อมูลเพื่อช่วยให้ธุรกิจเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์แนวโน้ม และสร้างรายงานที่เข้าใจง่าย
    • ทักษะหลัก การสื่อสารและนำเสนอข้อมูล การตีความข้อมูลเชิงพรรณนา
  3. Data Engineer
    • สร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล เช่น การตั้งค่า Data Pipelines และการรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งาน
    • ทักษะหลัก การออกแบบฐานข้อมูล การจัดการระบบข้อมูลขนาดใหญ่ และการเขียนโปรแกรมสำหรับระบบจัดการข้อมูล
  4. Data Architect
    • ออกแบบโครงสร้างข้อมูลในองค์กร สร้างแบบจำลองข้อมูล และจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ เพื่อให้การวิเคราะห์และการเข้าถึงข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
    • ทักษะหลัก ความสามารถในการออกแบบฐานข้อมูล การจัดการข้อมูลให้ปลอดภัย และการออกแบบโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับการวิเคราะห์และธุรกิจ

เทรนด์และนวัตกรรมใน Data Science

นวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ ๆ ใน Data Science มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น Generative AI ช่วยสร้างแบบจำลองข้อมูลที่ซับซ้อนและมีความยืดหยุ่นสูง ในขณะที่ Deep Learning และ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมสามารถพัฒนาการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เช่น การวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้บริโภคและการเรียนรู้จากข้อมูลเชิงลึกในปริมาณมาก นอกจากนี้ การเรียนรู้ของเครื่องแบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning) ยังช่วยให้ระบบสามารถปรับตัวและเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อพัฒนาโซลูชั่นอัจฉริยะที่ตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะได้

ประโยชน์ของ Data Science ในภาคอุตสาหกรรม

  1. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลในกระบวนการผลิตอย่างละเอียดช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถตรวจพบปัญหาในกระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ลดการเกิดข้อผิดพลาดในสายการผลิต และทำให้การดำเนินงานมีความราบรื่น
  2. การคาดการณ์และการวางแผน  ความสามารถในการคาดการณ์ความต้องการสินค้าและจัดการสินค้าคงคลังได้แม่นยำ ทำให้สามารถวางแผนและบริหารทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดความเสี่ยงจากสินค้าค้างสต็อก
  3. การตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ Data Science ช่วยให้อุตสาหกรรมคาดการณ์ความเสียหายของเครื่องจักรได้ล่วงหน้า ช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดงานฉุกเฉิน และยืดอายุการใช้งานเครื่องจักร
  4. การจัดการด้านซัพพลายเชน การวิเคราะห์ข้อมูลจากซัพพลายเชนช่วยลดความสูญเสีย เพิ่มความแม่นยำในการจัดการสต็อก และทำให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปตามกำหนด

ตัวอย่างการใช้งานจริงของ Data Science ในอุตสาหกรรม

  1. การใช้ AI นำมาวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วในการผลิต
  2. การคาดการณ์ยอดขาย บริษัทในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มใช้ Machine Learning วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค คาดการณ์แนวโน้มยอดขาย และวางแผนการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการนำ Data Science เข้ามาในอุตสาหกรรม

  1. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดค่าใช้จ่าย
    บริษัท GE Aviation นำ Data Science และเทคนิค Machine Learning มาใช้ในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องยนต์ของเครื่องบิน ทำให้สามารถคาดการณ์การบำรุงรักษาได้ล่วงหน้า และลดเวลาในการซ่อมบำรุง ส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครื่องยนต์ (อ้างอิงจาก GE Aviation)
  2. การปรับปรุงการดำเนินงานด้านซัพพลายเชน
    บริษัท Procter & Gamble (P&G) ใช้ Data Science และ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากซัพพลายเชน ซึ่งช่วยให้สามารถปรับตัวตามความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ลดปัญหาการขาดแคลนสินค้าคงคลัง และเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดส่งสินค้า ส่งผลให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในด้านการจัดการสต็อก (ข้อมูลจาก Procter & Gamble)
  3. การเพิ่มยอดขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการผู้บริโภค
    Starbucks ใช้ Data Science ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เช่น ข้อมูลการสั่งซื้อ ความชอบ และความถี่ในการซื้อ โดยนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถแนะนำเมนูที่เหมาะกับความชอบของลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (อ้างอิงจาก Starbucks)
  4. การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้วยการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
    สิงคโปร์ได้นำ Data Science และ AI มาใช้ในโครงการ Smart City โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด การจราจร และเซ็นเซอร์ตรวจจับในเมืองเพื่อปรับปรุงการจัดการด้านการขนส่งและความปลอดภัยในเมือง ทั้งนี้ ช่วยให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความแออัดของการจราจร และพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน (ข้อมูลจากรัฐบาลสิงคโปร์)

การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

การส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรหันมาใช้ Data Science อย่างเป็นระบบนั้นมีความสำคัญ การฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการจัดการข้อมูล รวมถึงการสนับสนุนให้ทีม Data Science ทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ ช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

การรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลในอุตสาหกรรม

ในการนำ Data Science มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม องค์กรต้องรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลหลากหลายประการ เช่น ปัญหาด้านคุณภาพของข้อมูล (Data Quality) ข้อมูลที่กระจายอยู่ในหลายแหล่ง (Data Silos) และการบูรณาการข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ ในสายการผลิต การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และการวางแผนระบบที่สอดคล้องกันเพื่อให้ข้อมูลสามารถนำมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

Data Science ช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลผลิต การวางแผนเชิงกลยุทธ์ หรือการบำรุงรักษาเครื่องจักร ทำให้อุตสาหกรรมสามารถปรับตัวและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ