Ford testet Nutzung von Schalen gerösteter Kaffeebohnen für nachhaltige Herstellung von Scheinwerfergehäusen. Foto: Ford

Ford จับมือ McDonald’s แปรรูปของเหลือเป็นชิ้นส่วนยานยนต์

Date Post
09.01.2020
Post Views

เมื่อชิ้นส่วนเหลือใช้จากยานยนต์กลายเป็นขยะสำหรับถมที่ มลพิษที่ตามมาจากชิ้นส่วนเหล่านั้นจึงมีเพิ่มขึ้นอย่างมากทุกปี หนึ่งในทางแก้ที่ชาญฉลาดของ Ford และ McDonald’s คือ การนำวัตถุดิบอาหารเหลือใช้มาแปรรูปเป็นชิ้นส่วนแทน

ที่มาภาพ: Ford

โคมไฟหน้าของรถยนต์มักถูกผลิตขึ้นจากพลาสติกและ Talc ทำให้เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้วกลายเป็นขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ ในขณะที่อาหารที่เหลือจากการแปรรูปนั้นก็มีจำนวนมากมายเหลือเกิน ในกรณีของ McDonald’s นั้นในการทำกาแฟขายมีเยื่อกาแฟ (Coffee Chaff) เกิดขึ้นมากกว่า 62 ล้านปอนด์ต่อปีซึ่งโดยทั่วไปมักจะกลายเป็นขยะถมที่ การกำจัดในรูปแบบอื่นก็ดูจะสร้างปัญหามลภาวะให้โลกไม่แพ้กัน McDonald’s จึงได้เริ่มโครงการเกี่ยวกับวัสดุทางเลือกขึ้นมา ในขณะเดียวกัน Ford ก็ค้นหาวิธีการลดขยะที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน

ที่มาภาพ: Ford

Ford จึงได้จับมือกับ McDonald’s ในฐานะพันธมิตรในการพัฒนาระบบการนำอาหารเหลือใช้มาแปรรูปเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ขึ้น และผลลลัพธ์ที่ได้ คือ โคมไฟหน้าที่มีส่วนผสมของเยื่อกาแฟ โดยการนำเอาเยื่อการแฟมาให้ความร้อนสูง จากนั้นจึงผสมด้วยพลาสติกและสารเติมแต่ง ลดปริมาณการใช้ Talc ซึ่งเป็นแร่ที่ได้จากการทำเหมือง จุดเด่นของโคมไฟหน้านี้นอกจากลดปริมาณขยะโดยนำกลับมาแปรรูปแล้ว น้ำหนักของชิ้นส่วนนั้นลดลงกว่า 20% และใช้พลังงานในการฉีดขึ้นรูปชิ้นส่วนใหม่นี้ลดลงถึง 25% ด้วยเช่นกัน รวมถึงโคมไฟรุ่นใหม่นี้มีความสามารถในการทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงมากกว่าโคมไฟหน้าที่ใช้  Talc ผลิตเพียงอย่างเดียว

McDonald’s นั้นตั้งเป้าใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิลได้ หรือได้รับการรับรองที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม 100% ภายในปี 2025 นอกจากนี้ยั้งให้การสนับสนุนการพัฒนาแก้วกาฟที่ย่อยสลายได้หรือรีไซเคิลได้ผ่าน NEXTGen Cup Consortium and Challenge การตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในรูปแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่เปลี่ยนไปของธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire