- การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเป็นหัวข้อหลัก – ผู้นำ G20 เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสนับสนุนทางการเงินอย่างเร่งด่วน โดยเรียกร้องให้เพิ่มการสนับสนุนจากระดับพันล้านเป็นล้านล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและจัดการกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ความขัดแย้งเรื่องผู้สนับสนุนทางการเงิน – ประเทศพัฒนาแล้วผลักดันให้ประเทศกำลังพัฒนาที่ร่ำรวย เช่น จีน และประเทศตะวันออกกลาง เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน แต่ประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล คัดค้าน โดยยืนยันให้ประเทศพัฒนาแล้วรับผิดชอบเป็นหลัก
-
แรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ – การประชุม G20 เกิดขึ้นก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งอาจถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส การประชุมนี้จึงเป็นความพยายามสร้างแรงสนับสนุนก่อนที่นโยบายสหรัฐฯ จะเปลี่ยนไป
อะไรคือ G20 การประชุมของกลุ่มนี้ส่งผลอะไรกับโลกเรา ?
G20 หรือ Group of Twenty คือ กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 19 ประเทศ รวมกับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งรวมตัวกันเพื่อหารือและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การเงิน และประเด็นสำคัญระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงทางพลังงาน G20 มีบทบาทสำคัญเนื่องจากประเทศสมาชิกคิดเป็นสัดส่วนถึง 85% ของ GDP โลก และ 75% ของการค้าโลก การประชุมของกลุ่มนี้จึงเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำประเทศเศรษฐกิจหลักมารวมตัวกันเพื่อกำหนดทิศทางในการจัดการความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ
ในทุกปี ผู้นำ G20 จะพบปะกันเพื่อหารือประเด็นที่สำคัญที่สุดในเวลานั้น เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ พลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยข้อสรุปจากการประชุมจะถูกบันทึกไว้ใน “แถลงการณ์ร่วม” ซึ่งแสดงถึงจุดยืนและความร่วมมือของกลุ่ม
จึงทำให้ผู้นำที่เข้าร่วมการประชุม G20 ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำในประเทศของตนเอง แต่ยังเป็นตัวแทนของกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางโลกด้วย
หลังการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ 19 /11 /2024
ริโอเดจาเนโร, 19 พฤศจิกายน – ผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ G20 ได้ประชุมหารือในวันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดที่บราซิล โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด พร้อมกระตุ้นการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่การเจรจาในการประชุม COP29 ที่อาเซอร์ไบจานยังคงมีความล่าช้า
ในแถลงการณ์ร่วมที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ ผู้นำ G20 ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินจาก “ระดับพันล้านเป็นล้านล้านดอลลาร์” เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นไปที่การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โดยนักเศรษฐศาสตร์ได้เสนอว่า เป้าหมายทางการเงินนี้ควรอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
ข้อขัดแย้งเรื่องฐานผู้สนับสนุน
ประเด็นการขยายฐานผู้สนับสนุนทางการเงินกลายเป็นหัวข้อถกเถียงสำคัญโดยประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรป เรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนาที่ร่ำรวย เช่น จีน และประเทศตะวันออกกลาง มีส่วนร่วมในการสนับสนุนทางการเงิน ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล ยืนยันว่าประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นผู้ปล่อยมลพิษหลักในอดีตควรเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
ข้อเสนอให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนร่วมสนับสนุนแบบสมัครใจถูกนำเสนอในที่ประชุม แต่ไม่ได้รับการบรรจุในแถลงการณ์สุดท้าย สะท้อนถึงความซับซ้อนของการบรรลุข้อตกลงร่วมในระดับนานาชาติ แม้ทุกฝ่ายจะเห็นพ้องในความสำคัญของการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ
การประชุม G20 ครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม และมีแนวโน้มที่จะถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส รวมถึงลดนโยบายสนับสนุนการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้นำ G20 จึงต้องเร่งสร้างแรงผลักดันในการเจรจา COP29 ก่อนที่ทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลง
อนาคตของการประชุม COP29
เจ้าภาพ COP29 ได้เรียกร้องให้ G20 ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่าความล้มเหลวในการสร้างข้อตกลงที่แข็งแกร่งจะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการจัดการกับปัญหาโลกร้อนในระยะยาว
การประชุม G20 ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบของประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา แม้ว่าจะมีความเห็นร่วมกันในระดับหนึ่ง แต่ความไม่ลงรอยในประเด็นสำคัญอย่างฐานผู้สนับสนุนและเป้าหมายทางการเงินยังคงเป็นอุปสรรค หากไม่มีความคืบหน้า การประชุม COP29 ในสัปดาห์นี้อาจไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนในการจัดการปัญหาโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ