Store Master - Kardex
hugo stotz inventor of circuit breaker

จุดเริ่มต้นของ Hugo Stotz สู่การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวพ่อในวงการอย่าง ABB

Date Post
31.01.2025
Post Views

หากครั้งต่อไปที่เบรกเกอร์ไฟฟ้าที่บ้านของคุณเกิดทำงานขึ้น ให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังใช้งานสิ่งประดิษฐ์ของ Hugo Stotz นักประดิษฐ์ที่ช่วยให้บ้านนับหลังไม่ถ้วนปลอดภัยจากอันตรายทางไฟฟ้า โดยในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1924 Stotz และ Heinrich Schachtner วิศวกรของเขา ได้จดสิทธิบัตร “สวิตช์ตัดวงจรไฟฟ้า” แบบใหม่ที่ทำงานด้วยระบบแม่เหล็กและความร้อน สิ่งนี้ถูกคิดค้นเพื่อตอบสนองต่อการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในครัวเรือน ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงจากการลัดวงจรและไฟฟ้าเกินพิกัดในสมัยก่อน

Stotz-Automat แทนที่ฟิวส์หลอมละลาย

ก่อนที่ ‘Stotz-Automat’ จะถูกพัฒนาขึ้น ฟิวส์หลอมละลายถูกใช้เพื่อป้องกันการลัดวงจร แต่ฟิวส์เหล่านี้ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่ถูกใช้งาน ซึ่งไม่เพียงแต่ยุ่งยากแต่ยังเสี่ยงอันตรายอีกด้วย การออกแบบของ Stotz รวมระบบป้องกันสองแบบ: ขดลวดแม่เหล็กสำหรับการลัดวงจร และสวิตช์โลหะคู่ (Bimetal Switch) สำหรับไฟฟ้าเกินพิกัด หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว ผู้ใช้งานสามารถรีเซ็ตการทำงานของอุปกรณ์ได้ง่าย ๆ ด้วยการกดปุ่ม โดยไม่ต้องเปลี่ยนฟิวส์ใหม่

ฟิวส์หลอมละลายอาจมีราคาต่อชิ้นถูกกว่า แต่ในระยะยาวกลับมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เนื่องจากต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่ใช้งาน เมื่อเปรียบเทียบ ‘Stotz-Automat’ นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ทั้งนี้ เบรกเกอร์ไฟฟ้านี้ถูกออกแบบมาให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟฟ้าเกินพิกัด

ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการผลิต เบรกเกอร์ไฟฟ้าของ Stotz สามารถป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์ราคาแพง และลดเวลาหยุดชะงักในการผลิตที่เกิดจากการเปลี่ยนฟิวส์ซ้ำ ๆ ได้ นอกจากนี้ การไม่ต้องเปลี่ยนฟิวส์ใหม่หลังจากการตัดไฟยังลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดในการติดตั้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในอดีต

การทำงานของเบรกเกอร์ไฟฟ้าที่จดสิทธิบัตร

การออกแบบของ Stotz และ Schachtner ใช้ระบบที่ตอบสนองต่อความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ กลไกแม่เหล็กไฟฟ้าช่วยตัดไฟทันทีในกรณีที่เกิดการลัดวงจร ขณะที่สวิตช์โลหะคู่ตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเมื่อเกิดไฟฟ้าเกินพิกัด การใช้งานของเบรกเกอร์ยังสะดวกและปลอดภัยกว่าเดิม เพราะสามารถรีเซ็ตได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ อีกทั้งยังรองรับการติดตั้งกับระบบไฟฟ้าแบบเดิมได้อย่างง่ายดาย

หนึ่งในความท้าทายหลักที่ Stotz เผชิญคือการออกแบบระบบที่สามารถตอบสนองได้รวดเร็วแต่ยังคงความเสถียร ซึ่งต้องอาศัยการทดลองซ้ำ ๆ และการพัฒนาอย่างละเอียด โดยพวกเขาได้ทดสอบการทำงานในห้องทดลองที่ควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด รวมถึงการจำลองการลัดวงจรและไฟฟ้าเกินพิกัดในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมจริง

ทีมงานยังต้องแก้ปัญหาการออกแบบให้เบรกเกอร์มีขนาดกะทัดรัดและติดตั้งง่าย เพื่อให้เข้ากับระบบไฟฟ้าที่มีอยู่ในครัวเรือนทั่วไป การใช้วัสดุที่เหมาะสมและการสร้างกลไกการทำงานที่สามารถรองรับโหลดไฟฟ้าสูงได้จึงเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จนี้

เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ ทีมงานได้ทดสอบเบรกเกอร์ในสถานการณ์จริง เช่น การจำลองการลัดวงจรในโรงงานและการตรวจสอบความเสถียรภายใต้โหลดไฟฟ้าหนัก

ก้าวแรกที่ Mannheim สู่ความสำเร็จที่ก้าวไปทั่วโลก

‘เบรกเกอร์ Stotz’ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรม โดยมีการพัฒนาให้รองรับการใช้งานกับเครื่องจักรที่มีกระแสไฟสูง การใช้งานอุปกรณ์นี้ช่วยลดปัญหาการหยุดชะงักในการผลิตและเพิ่มความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม

ในยุคแรกเริ่ม โรงงานผลิตเครื่องจักรในยุโรปได้นำ ‘Stotz-Automat’ มาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ในอุตสาหกรรมเหล็กและการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยเพิ่มความต่อเนื่องของสายการผลิตและลดเวลาการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวจากการลดการใช้ฟิวส์หลอมละลาย

ข้อมูลสถิติเบื้องต้นระบุว่า ภายใน 20 ปีหลังจากการเปิดตัว มีการใช้งานเบรกเกอร์ Stotz ในหลายแสนโรงงานทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในระดับสากล แม้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีเบรกเกอร์ Stotz ยังคงเป็นรากฐานของการออกแบบระบบไฟฟ้าสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ตัวอย่างการใช้งานจริงในยุคแรกเริ่ม ได้แก่ โรงงานผลิตเครื่องจักรในยุโรปที่ใช้ ‘Stotz-Automat’ เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องในการผลิตและลดค่าใช้จ่ายจากการหยุดเครื่องจักรโดยไม่จำเป็น

Stotz เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวพ่อในวงการอย่าง ABB ได้อย่างไร ?

หลังจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งประดิษฐ์นี้ บริษัทที่ Hugo Stotz ก่อตั้งขึ้นได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำของยุโรป และในปี 1960 บริษัทได้เข้ารวมกับ BBC (Brown, Boveri & Cie) ซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของ ABB โดย ABB ได้ขยายการพัฒนาและการผลิตเบรกเกอร์ไฟฟ้าในระดับโลก โดยเฉพาะโรงงานในเมืองไฮเดลเบิร์ก(Heidelberg) ที่กลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม

ในช่วงที่ ABB เข้ามาบริหาร บริษัทได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การนำระบบดิจิทัลมาผสมผสานกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ทำให้สามารถตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด ในระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ABB ยังเพิ่มความสามารถในการผลิตด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติในโรงงาน รวมถึงขยายตลาดไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ เช่น เอเชียและอเมริกาเหนือ ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นสากลของแบรนด์

ผลกระทบสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงนี้คือการผลักดันนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่หลากหลาย เช่น เบรกเกอร์ไฟฟ้าที่รองรับการใช้งานในโครงข่ายพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid) และโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งช่วยให้ ABB สามารถรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไฟฟ้าได้จนถึงปัจจุบัน ในช่วงที่ ABB เข้ามาบริหาร บริษัทได้ขยายตลาดไปยังเอเชียและอเมริกาเหนือ ทำให้แบรนด์มีชื่อเสียงในระดับโลก และยังลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาระบบใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายในยุคดิจิทัล

ปัจจุบัน ABB ผลิตเบรกเกอร์มากกว่า 45 ล้านชิ้นต่อปี และจำนวนการผลิตทั้งหมดได้ทะลุหลักพันล้านชิ้นแล้ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังทำให้เบรกเกอร์ไฟฟ้าสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น เช่น การตัดไฟภายในเวลาเพียง 10 มิลลิวินาที และการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกระแสไฟในแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)

เบรกเกอร์ยุคใหม่ที่ชาญฉลาด

เทคโนโลยีเบรกเกอร์ไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อปรับปรุงการจัดการโหลดไฟฟ้าและระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ระบบเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของ Smart Grid ซึ่งเป็นโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่สามารถปรับตัวตามการใช้งานและจัดสรรพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ลดการสูญเสียพลังงาน และเพิ่มความยั่งยืนในด้านพลังงานหมุนเวียน

หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของเบรกเกอร์ไฟฟ้าสมัยใหม่คือการติดตั้งเซ็นเซอร์และชิปอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟได้ทันที รวมถึงการคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือการโอเวอร์โหลด โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งต่อไปยังศูนย์ควบคุมเพื่อดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างของระบบสมาร์ทกริดที่ใช้เบรกเกอร์ไฟฟ้าขั้นสูง ได้แก่ การจัดการพลังงานในโครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น ฟาร์มกังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งต้องการระบบที่สามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงของโหลดไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ระบบเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ เทคโนโลยีเบรกเกอร์ไฟฟ้ายังมีบทบาทสำคัญในระบบโครงข่ายพลังงานที่ใช้ AI ในการควบคุมพลังงานไฟฟ้า โดยการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจในเวลาจริงช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานในทุกระดับ ตั้งแต่ครัวเรือนจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Automation Expo