MILL กำไรพุ่ง 325% EBITDA ทะลุ 1.1พันลบ.
MILL กำไรพุ่ง 325% EBITDA ทะลุ 1.1พันลบ.

MILL กำไรพุ่ง 325% EBITDA ทะลุ 1.1พันลบ.

Date Post
03.03.2022
Post Views

MILL  โชว์งบปี 2564 กำไรสุทธิกว่า 379 ล้านบาท พุ่งขึ้น 325%   ขณะที่ EBITDA ทะลุ 1.1 พันล้านบาท ชี้ เป็นผลมาจากภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กและการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย-ต้นทุนการเงินที่ลดลง

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน)หรือ MILL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 379 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 325%  เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ 1,131 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มี EBITDA จำนวน 940 ล้านบาท    ขณะที่มีรายได้รวม 15,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,171 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,641 ล้านบาท

ทั้งนี้กำไรสุทธิข้างต้น ยังไม่ได้รวมผลการดำเนินงานของ บริษัท โคเบลโก้ มิลล์คอน สตีล จำกัด  หรือ KMS ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 50 % กับบริษัท โกเบ สตีล ลิมิเต็ด ดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดทั่วไปและเหล็กลวดเกรดพิเศษ ซึ่งปัจจุบันสามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสามารถกลับมาดำเนินการมีผลกำไรได้แล้ว โดยในปี 2564  KMS มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 369 ล้านบาท หากรวมกับกำไรสุทธิของบริษัทในปี 64 จะส่งผลให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 564 ล้านบาท

 นายประวิทย์ กล่าวว่า  ในปี 2564  บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นถึง 36%  เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาเหล็กในตลาดโลก ซึ่งรวมถึงราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่ม ทำให้ต้นทุนการขายและบริการอยู่ที่ 14,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 % และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6%  ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 74 ล้านบาท หรือลดลง 15 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของค่าขนส่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของบริษัท และต้นทุนทางการเงินลดลง 9 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัท 

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิต่อเนื่องจากปี 2564  เนื่องจากประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับบริษัทมีความพร้อมในการแข่งขัน 

นอกจากนี้แนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีนที่มีการจำกัดการส่งออกและลดกำลังการผลิต และยกเลิกนโยบายคืนภาษีส่งออก (Tax rebate) ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงเพิ่มขึ้น

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2564  นายประวิทย์ กล่าวว่า จากการที่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีนมีการจำกัดการส่งออก และลดกำลังการผลิต ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเหล็กและราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆฟื้นตัวดีขึ้น 

จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย การบริโภคเหล็กสำเร็จรูปของไทยในปี 2564 อยู่ที่ 18.74 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.9 % จากปีก่อน โดยการบริโภคเหล็กทรงยาวอยู่ที่ 6.47 ล้านตัน แบ่งเป็น การบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Bar & HR section) อยู่ที่ 3.76 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.3 % และผลิตภัณฑ์เหล็กลวด (Wire rod) อยู่ที่ 2.34 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การบริโภคเหล็กทรงแบนอยู่ที่ 12.27 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 20.7 % เมื่อเทียบกับปี 2563

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Nichaphan W.
การตลาดและประชาสัมพันธ์
Taiwan-Excellent