-
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต – ช่วยติดตามและจัดการกระบวนการผลิต ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน และเพิ่มความแม่นยำ เช่น การสร้างแดชบอร์ดเรียลไทม์หรือ Workflow Automation
-
ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนา – สร้างระบบซับซ้อนอย่างง่ายดาย เช่น ระบบจัดการสินค้าคงคลัง หรือโมดูลฝึกอบรม โดยไม่ต้องจ้างนักพัฒนาระดับสูง
-
การสนับสนุน Industry 4.0 และ 5.0 – รองรับเทคโนโลยี IoT, AI และ Automation เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบ เช่น การติดตามวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์หรือการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์
No-code คืออะไร?
No-code คือ เครื่องมือสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านการเขียนโค้ดหรือการพัฒนาโปรแกรมในระดับชำนาญ ผู้ใช้งานสามารถสร้างเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือระบบต่าง ๆ ได้ด้วยการลากวาง (drag-and-drop) องค์ประกอบต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม No-code ซึ่งถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและลดความซับซ้อนของกระบวนการพัฒนา โดยเป้าหมายของ No-code คือ การเปิดโอกาสให้คนทั่วไป (Citizen Developers) สามารถเข้าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีได้โดยไม่ต้องพึ่งพานักพัฒนาหรือทีม IT มากจนเกินไป
ความแตกต่างของ No-code กับ Low-Code
No-code และ Low-Code ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะเครื่องมือที่ช่วยลดความซับซ้อนของการพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน โดยทั้งสองแนวคิดมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
- No-code – มุ่งเน้นให้คนทั่วไปสร้างนวัตกรรมได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลย เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือระบบงานที่ไม่ซับซ้อน
- Low-Code – ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาที่ต้องการความยืดหยุ่นและปรับแต่งแอปพลิเคชันได้ตามความต้องการเฉพาะทาง เช่น การเขียนโค้ดบางส่วนสำหรับฟังก์ชันที่ซับซ้อน
ตัวอย่างแพลตฟอร์ม No-code ที่เราคุ้นเคยอย่าง WordPress และ Shopify
WordPress เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการสร้างเว็บไซต์อุตสาหกรรมที่ต้องการดีไซน์เฉพาะตัวหรือฟีเจอร์ที่ปรับแต่งได้ เช่น การสร้างเว็บไซต์ข้อมูลบริษัท แค็ตตาล็อกสินค้า หรือระบบออเดอร์ B2B และ B2C ด้วยปลั๊กอินอย่าง WooCommerce และ Yoast SEO ทำให้ WordPress สามารถรองรับ E-Commerce และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ
Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่เชี่ยวชาญด้านการขายสินค้าออนไลน์ เหมาะสำหรับธุรกิจ E-commerce และการค้าปลีกที่ต้องการระบบการขายครบวงจร ตั้งแต่การจัดการสินค้า การชำระเงิน ไปจนถึงการส่งสินค้า Shopify ใช้งานง่ายและรองรับการขยายตลาดสู่ระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการสนับสนุนหลายภาษาและระบบการตลาดอัตโนมัติ
นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม No-code อีกจำนวนมากที่พร้อมให้บริการและเพิ่มศักยภาพในด้านต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น Mobile app , Database , Web apps , productivity , internal tools , Automation and InteGration
รูปภาพจาก Open source
บทบาทสำคัญของ No-code ในภาคอุตสาหกรรม
No-code อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม โดยช่วยพัฒนาระบบและโซลูชั่นต่าง ๆ ใน 5 ส่วนสำคัญ ดังนี้
1. การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
No-code ช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาระบบติดตามและจัดการกระบวนการผลิตได้อย่างง่ายดาย เช่น การสร้างแดชบอร์ดเรียลไทม์เพื่อติดตามสถานะการผลิต ลดขั้นตอนซ้ำซ้อนในกระบวนการ และเพิ่มความแม่นยำ โดยใช้แพลตฟอร์มอย่าง Zapier หรือ Make เพื่อเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เช่น ERP หรือ CRM
2. ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาระบบ
การพัฒนาระบบที่ซับซ้อน เช่น ระบบสต็อกสินค้า การจัดการคำสั่งซื้อ หรือแอปพลิเคชันภายในองค์กร สามารถทำได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Glide หรือ Notion ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเวลาที่ใช้ในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์
3. การปรับตัวในยุค Industry 4.0
No-code สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในยุค Industry 4.0 ด้วยการสร้างระบบเก็บข้อมูลจาก IoT การวิเคราะห์ข้อมูลแบบอัตโนมัติ และการพัฒนา Workflow Automation ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Power Automate หรือ Bubble ช่วยให้องค์กรลดเวลาหยุดชะงักและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
4. การสนับสนุนการทำงานร่วมกันในองค์กร
แพลตฟอร์ม No-code เช่น Airtable หรือ Trello ช่วยให้ทีมงานสามารถจัดการโครงการหรือข้อมูลการผลิตร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ ลดความซับซ้อนในการสื่อสารและเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินงานในองค์กร
5. การผสานรวมกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
No-code รองรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI และ IoT เช่น การพัฒนาระบบอัจฉริยะเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในกระบวนการผลิต หรือการสร้าง Workflow ที่ช่วยให้พนักงานทำงานร่วมกับ AI หรือหุ่นยนต์ได้อย่างราบรื่น
10 โซลูชัน No-code เพื่อพัฒนาสายการผลิต
รูปภาพจาก AIMultiple
- แดชบอร์ดการจัดการสินค้าคงคลัง
- ช่วยให้ผู้จัดการเฝ้าติดตามระดับสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ ระบุเกณฑ์การสั่งซื้อซ้ำ และปรับปรุงวงจรการจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตัวอย่างเช่น การสร้างระบบแจ้งเตือนเมื่อระดับสินค้าคงคลังต่ำผ่านแพลตฟอร์ม No-code
- การรายงานการควบคุมคุณภาพ
- ผู้ผลิตสามารถระบุข้อบกพร่องในผลิตภัณฑ์และสร้างรายงานคุณภาพได้ง่าย เพื่อช่วยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างทันท่วงที
- ใช้ระบบอัตโนมัติในการรวบรวมข้อมูลคุณภาพและสร้างรายงานอัจฉริยะผ่านแพลตฟอร์ม No-code
- การจัดตารางการบำรุงรักษา
- โรงงานสามารถลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักรได้ โดยใช้ระบบจัดตารางการบำรุงรักษาอย่างเป็นระบบและแม่นยำ
- ตัวอย่างเช่น การตั้งค่าการแจ้งเตือนล่วงหน้าสำหรับการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
- พอร์ทัลความร่วมมือกับซัพพลายเออร์
- ช่วยให้ซัพพลายเออร์อัพเดทตารางการส่งมอบ ความพร้อมใช้งานของสินค้า และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ได้ในพอร์ทัลที่เชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์
- เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในห่วงโซ่อุปทาน
- โมดูลการฝึกอบรมพนักงาน
- ใช้แพลตฟอร์ม No-code สร้างโมดูลการฝึกอบรมแบบโต้ตอบที่ประกอบด้วยวิดีโอ แบบทดสอบ และสถานการณ์จำลอง
- ช่วยให้พนักงานติดตามและเข้าใจกระบวนการใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น
- การทำงานอัตโนมัติในกระบวนการผลิต
- ลดงานซ้ำซ้อนในกระบวนการ เช่น การจัดการคำสั่งซื้อและการมอบหมายงานโดยอัตโนมัติ
- ใช้ Workflow Automation เพื่อเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการผลิต
- รายการตรวจสอบความปลอดภัย
- ช่วยลดความเสี่ยงในโรงงานด้วยแอปพลิเคชันตรวจสอบความปลอดภัยดิจิทัล
- พนักงานสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยได้อย่างเป็นระบบ
- การจัดสรรทรัพยากร
- ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อจัดสรรทรัพยากร เช่น แรงงาน เครื่องจักร และวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการทรัพยากร
- การติดตามวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
- ช่วยให้สามารถติดตามวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ได้ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจนถึงการจัดจำหน่าย
- รองรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์
- การเก็บรวบรวมความคิดเห็นลูกค้า
- สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้า
- ข้อมูลนี้ช่วยให้ทีมงานปรับปรุงผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการตลาดได้อย่างรวดเร็ว
No-code คือ เครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกระบวนการผลิต การสนับสนุน Industry 4.0 หรือการทำงานร่วมกันในองค์กร ด้วยการผสานเทคโนโลยี AI และ IoT เข้าด้วยกัน No-code จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรในภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน