SIEMENS
SIEMENS
/pcb manufacturing process explained

จาก 0 ถึง Finish เปิดทุกขั้นตอนการผลิต PCB

Date Post
31.03.2025
Post Views

แผงวงจรพิมพ์ หรือ PCB (Printed Circuit Board) คือหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ไปจนถึงระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมและอวกาศ เบื้องหลังความบาง เบา และแม่นยำของอุปกรณ์เหล่านี้ คือกระบวนการผลิต PCB ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ซึ่งต้องอาศัยทั้งความรู้ทางวิศวกรรม วัสดุศาสตร์ และเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย

PCB คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ?

PCB คือแผ่นวัสดุชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นฐานติดตั้งและเชื่อมต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีลายทองแดง (Copper Traces) เชื่อมต่อวงจรตามที่ออกแบบไว้ จุดเด่นของ PCB คือการควบคุมสัญญาณและพลังงานได้แม่นยำมากในพื้นที่จำกัด ลดโอกาสการลัดวงจร และเพิ่มความเชื่อถือได้ของอุปกรณ์โดยรวม

โครงสร้างพื้นฐานของ PCB

  • Substrate (วัสดุฐาน) เป็นโครงสร้างหลักของแผ่น PCB ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับทุกชั้นของวงจร โดยทั่วไปนิยมใช้วัสดุ FR-4 ซึ่งเป็นแผ่นใยแก้วเคลือบด้วยเรซินอีพ็อกซี่ มีคุณสมบัติเชิงกลดี ไม่นำไฟฟ้า และทนความร้อนได้ดี วัสดุนี้มีต้นทุนสมเหตุสมผลและสามารถรองรับงานหลากหลายตั้งแต่อุปกรณ์ทั่วไปจนถึงอุปกรณ์อุตสาหกรรม
  • Copper Layer เป็นชั้นที่มีบทบาทในการนำไฟฟ้าระหว่างส่วนต่างๆ ของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยทั่วไปแผ่น PCB จะเคลือบด้วยทองแดงทั้งสองด้าน (หรือมากกว่านั้นในกรณีหลายชั้น) ทองแดงจะถูกกัดออกเพื่อให้เกิดลวดลายตามแบบวงจร ซึ่งสามารถทำได้ละเอียดระดับไมโครเมตร ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงาน
  • Solder Mask คือชั้นเคลือบป้องกันบนแผ่นวงจรที่อยู่เหนือลายทองแดง มีหน้าที่ป้องกันการเกิดออกซิเดชัน ลดโอกาสการลัดวงจร และช่วยควบคุมการบัดกรีให้อยู่เฉพาะจุดที่ต้องการ โดยทั่วไปจะใช้สีเขียว แต่ในปัจจุบันมีการใช้สีอื่นเพื่อความแตกต่างหรือการใช้งานเฉพาะทาง เช่น สีแดง น้ำเงิน ดำ หรือใส
  • Silkscreen เป็นชั้นพิมพ์ข้อความ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ต่างๆ บนพื้นผิวของแผ่นวงจร เพื่อระบุรหัสอุปกรณ์ ตำแหน่งวาง และข้อมูลการประกอบอื่นๆ ช่วยให้การติดตั้งและบำรุงรักษาทำได้ง่ายและถูกต้อง มักใช้หมึกสีขาวหรือสีตัดกับ Solder Mask เพื่อความชัดเจน

กระบวนการผลิต PCB จากการออกแบบสู่แผ่นวงจรสำเร็จรูป

การผลิต PCB ประกอบด้วยขั้นตอนหลักตั้งแต่การออกแบบวงจรจนถึงการทดสอบใช้งานจริง โดยสามารถแบ่งได้เป็น 6 ขั้นตอนสำคัญ

1. การออกแบบวงจร (PCB Design)

ทุกแผ่น PCB เริ่มต้นจากการออกแบบวงจรโดยใช้ซอฟต์แวร์ CAD (Computer-Aided Design) ซึ่งช่วยให้นักออกแบบสามารถวางแผนวงจรอย่างแม่นยำและลดข้อผิดพลาดในการผลิตจริง โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้

  • Schematic Diagram คือแผนผังวงจรแบบลอจิก ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ไดโอด และ IC โดยไม่คำนึงถึงขนาดหรือระยะจริง ช่วยให้เข้าใจการทำงานของระบบโดยรวม
  • PCB Layout หลังจากได้แผนผังวงจรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางตำแหน่งของอุปกรณ์และลากเส้นทองแดงเชื่อมต่อ (Routing) บนแผ่น PCB จริง ต้องคำนึงถึงความยาวของเส้นทางสัญญาณ ความถี่ สัญญาณรบกวน (EMI) และข้อกำหนดเชิงกล เช่น ตำแหน่งรูยึดและขนาดบอร์ด
  • Design Rule Check (DRC) เป็นกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของแบบ Layout เทียบกับข้อกำหนดของโรงงานผลิต เช่น ความกว้างของเส้นทองแดง ระยะห่างระหว่างลายวงจร ขนาดรูเจาะ เพื่อให้แน่ใจว่าไฟล์ที่ออกแบบสามารถผลิตได้จริงและไม่เกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการพิมพ์ลายทองแดงหรือเจาะรู

เมื่อกระบวนการออกแบบเสร็จสมบูรณ์ ซอฟต์แวร์จะสร้างไฟล์ Gerber File ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ส่งต่อให้โรงงานผลิต โดยไฟล์นี้จะเก็บข้อมูลแต่ละเลเยอร์ของแผ่นวงจร รวมถึงข้อมูลสำหรับการเจาะรู ตัดขอบ พิมพ์ข้อความ และระบุตำแหน่งอุปกรณ์อย่างครบถ้วน

2. การเตรียมแผ่นวัสดุและลายทองแดง (Material Preparation & Imaging)

หลังจากได้ไฟล์ Gerber จากขั้นตอนออกแบบ โรงงานจะนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างลายวงจรบนแผ่นทองแดง โดยเริ่มจากการเตรียมแผ่นวัสดุ FR-4 ซึ่งเป็นวัสดุฐานที่เคลือบด้วยทองแดงทั้งสองด้าน จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการสร้างลายทองแดง ดังนี้

  • Photoresist Coating เริ่มต้นโดยเคลือบแผ่นทองแดงด้วยฟิล์มไวแสงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Photoresist ซึ่งจะตอบสนองต่อแสง UV โดยมีคุณสมบัติเปลี่ยนสถานะเมื่อโดนแสง ช่วยให้สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นได้อย่างแม่นยำ
  • UV Exposure นำแผ่นที่เคลือบ Photoresist ไปวางใต้หน้ากากลายวงจร (Photomask) ซึ่งเป็นแผ่นฟิล์มที่มีลวดลายโปร่งใสตามวงจรที่ออกแบบไว้ จากนั้นฉายแสง UV ลงไปบนแผ่นเพื่อให้ลายวงจรถูกถ่ายทอดลงบนชั้นไวแสง
  • Developing นำแผ่นที่ผ่านการฉายแสงไปล้างด้วยน้ำยาพิเศษ เพื่อกำจัดส่วนที่ไม่ได้โดนแสง UV ออก ทำให้เผยให้เห็นลวดลายที่ต้องการไว้บนชั้นทองแดงชัดเจน โดยส่วนที่ถูกฉายแสงจะคงอยู่และทำหน้าที่ป้องกันการกัดทองแดงในขั้นตอนถัดไป
  • Etching นำแผ่นไปผ่านสารกัดทองแดง (มักใช้สารประเภทกรด เช่น Ferric Chloride หรือ Ammonium Persulfate) เพื่อกัดเอาทองแดงส่วนที่ไม่ได้อยู่ใต้ชั้นไวแสงออก เหลือเฉพาะลายทองแดงที่ต้องการตามแบบวงจร

หลังจากขั้นตอนนี้จะได้แผ่น PCB ที่มีลายทองแดงตรงตามแบบ พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนถัดไปในการเจาะรูและเตรียมการเชื่อมต่อระหว่างชั้น

3. การเจาะรูและเชื่อมต่อชั้นวงจร (Drilling & Plating)

หลังจากได้แผ่นวงจรที่มีลายทองแดงเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเจาะรูและเชื่อมต่อวงจรระหว่างชั้นต่างๆ ของ PCB โดยเฉพาะในกรณีที่เป็น PCB หลายชั้น (Multilayer PCB) ซึ่งจำเป็นต้องเชื่อมลายวงจรระหว่างแต่ละเลเยอร์อย่างแม่นยำและมีเสถียรภาพ

  • Drilling – การเจาะรูเป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้เครื่อง CNC (Computer Numerical Control) ความแม่นยำสูง ทำการเจาะรูขนาดเล็กลงบนแผ่น PCB รูเหล่านี้มีหน้าที่สำหรับเสียบขาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ตัวต้านทาน, คาปาซิเตอร์, IC) หรือสำหรับเป็นทางผ่านของสัญญาณระหว่างชั้น โดยขนาดรูอาจเล็กถึง 0.2 มม. และต้องควบคุมตำแหน่งอย่างละเอียดเพื่อให้สอดคล้องกับแบบวงจร
  • PTH (Plated Through Hole) – หลังการเจาะรูแล้ว จะมีการนำแผ่น PCB ไปผ่านกระบวนการเคลือบผิวทองแดงภายในรู ซึ่งเรียกว่า Plating โดยจะชุบทองแดงให้เคลือบผนังด้านในของรูเจาะอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถเชื่อมต่อสัญญาณไฟฟ้าจากลายทองแดงชั้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ การชุบทองแดงนี้จะต้องมีความหนาสม่ำเสมอและไม่มีรูพรุนเพื่อให้เชื่อถือได้ในระยะยาว
  • Via Types –  สำหรับ PCB หลายชั้น การเชื่อมต่อวงจรระหว่างชั้นไม่สามารถใช้รูทะลุเพียงอย่างเดียว จึงต้องออกแบบ Via หลายประเภทให้เหมาะกับโครงสร้างของบอร์ด เช่น:
    • Through-hole Via รูที่ทะลุจากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ผ่านทุกชั้นของ PCB
    • Blind Via รูที่เชื่อมระหว่างผิวด้านนอกกับชั้นภายใน โดยไม่ทะลุทั้งแผ่น เหมาะสำหรับ PCB ที่ต้องการประหยัดพื้นที่ผิว
    • Buried Via รูที่เชื่อมเฉพาะชั้นภายในของ PCB โดยไม่โผล่ถึงด้านนอกเลย เหมาะกับบอร์ดที่มีความซับซ้อนและหนาแน่นสูง

ขั้นตอนนี้มีบทบาทสำคัญต่อความเสถียรของวงจรและความเชื่อถือได้ในระยะยาว หากการชุบทองแดงไม่สมบูรณ์ อาจเกิดปัญหาการหลุดของสัญญาณหรือความต้านทานสูงเกินไปในระหว่างการใช้งาน

4. การป้องกันและเตรียมผิวหน้า (Solder Mask & Surface Finish)

หลังจากกระบวนการเจาะรูและเคลือบทองแดงเสร็จสิ้น แผ่น PCB จะเข้าสู่ขั้นตอนการป้องกันพื้นผิวและเตรียมสำหรับการบัดกรีชิ้นส่วน ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การเคลือบชั้นกันบัดกรี (Solder Mask) และการเคลือบพื้นผิวสัมผัส (Surface Finish)

  • Solder Mask: คือชั้นเคลือบพิเศษที่ทาทับบนลายทองแดง เพื่อป้องกันการเกิดออกซิไดซ์ ลดความเสี่ยงจากการลัดวงจร และควบคุมการไหลของโลหะบัดกรีไม่ให้ไหลไปยังส่วนที่ไม่ต้องการ ช่วยให้การบัดกรีชิ้นส่วนลงบนแผงวงจรมีความแม่นยำมากขึ้น โดยสีมาตรฐานที่นิยมใช้คือสีเขียว แต่ในอุตสาหกรรมปัจจุบันก็มีการใช้สีอื่น เช่น แดง น้ำเงิน ดำ และขาว เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความสวยงามหรือการแบ่งประเภทแผงวงจร
  • Surface Finish: เป็นการเคลือบผิวสัมผัสของพื้นที่ที่ต้องการบัดกรี เช่น Pad หรือรู PTH เพื่อให้มีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับโลหะบัดกรีได้ดี ป้องกันการเกิดสนิม และเพิ่มอายุการเก็บรักษาแผงวงจรก่อนการประกอบ โดยมีเทคนิคการเคลือบหลากหลาย ได้แก่:
    • HASL (Hot Air Solder Leveling): เคลือบด้วยโลหะผสมตะกั่ว แล้วเป่าด้วยลมร้อนให้กระจายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่นิยมและมีต้นทุนต่ำ แต่ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเรียบสูง
    • ENIG (Electroless Nickel Immersion Gold): เคลือบนิกเกิลและทองคำบางๆ ให้พื้นผิวเรียบ เหมาะกับงาน SMT ขนาดเล็กหรือ PCB ที่มีชั้นมากๆ แม้จะมีต้นทุนสูงแต่ให้คุณภาพดีเยี่ยม
    • OSP (Organic Solderability Preservative): ใช้สารอินทรีย์เคลือบป้องกันการออกซิไดซ์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเหมาะกับกระบวนการประกอบในระยะสั้น

การเลือกใช้ Surface Finish ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบแผงวงจร โดยต้องพิจารณาทั้งคุณสมบัติทางไฟฟ้า ความเข้ากันได้กับกระบวนการประกอบ และต้นทุนรวม

5. การพิมพ์ Silkscreen และตัดแผ่น (Silkscreen & Profiling)

ก่อนที่แผ่น PCB จะพร้อมสำหรับการประกอบหรือจัดส่งไปยังลูกค้า จะต้องผ่านกระบวนการพิมพ์สัญลักษณ์และตัดแต่งขนาดให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเตรียมบอร์ด โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • Silkscreen –  เป็นกระบวนการพิมพ์ข้อความ สัญลักษณ์ หรือโลโก้ลงบนพื้นผิวของ PCB โดยใช้หมึกพิเศษ (มักเป็นสีขาว แต่สามารถใช้สีอื่นได้ตามต้องการ เช่น เหลืองหรือดำ) ข้อความที่พิมพ์นี้มีหน้าที่ระบุตำแหน่งและรหัสของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น R1, C2, IC3 รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติม เช่น หมายเลขรุ่น หมายเลขเวอร์ชัน หรือโลโก้บริษัท ช่วยให้ง่ายต่อการประกอบและซ่อมบำรุงในภายหลัง การพิมพ์ Silkscreen สามารถทำได้ทั้งแบบสกรีนหมึกด้วยตะแกรง (Screen Printing) หรือใช้ระบบอิงค์เจ็ทความละเอียดสูง (Inkjet Printing)
  • Routing/V-cut –  คือกระบวนการตัดแผ่น PCB ออกจากแผ่นใหญ่ (Panel) ให้ได้ขนาดสุดท้ายที่ต้องการ โดยมีวิธีหลัก 2 แบบ
    • Routing –  ใช้เครื่องกัด (Router) ตัด PCB ตามเส้นขอบที่ออกแบบไว้ เหมาะกับแผงที่มีรูปทรงไม่เป็นสี่เหลี่ยมหรือมีช่องเว้าซับซ้อน
    • V-cut (V-groove) – เป็นการทำร่องลึกครึ่งหนึ่งของความหนาบอร์ดทั้งสองด้านในแนวเดียวกัน ทำให้สามารถหักแผงออกจากกันได้ง่ายในภายหลัง นิยมใช้เมื่อมีการผลิตหลายบอร์ดในแผ่นเดียวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายของแผ่นวงจรก่อนเข้าสู่กระบวนการประกอบอุปกรณ์ (Assembly) หรือบรรจุภัณฑ์เพื่อจัดส่ง

6. การทดสอบไฟฟ้าและการควบคุมคุณภาพ (E-Test & Quality Control)

ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการผลิต PCB คือการตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้องของแผ่นวงจร เพื่อให้มั่นใจว่าแผ่นที่ผลิตมีประสิทธิภาพการทำงานตามที่ออกแบบไว้ และไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของอุปกรณ์ในภายหลัง โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้

  • Electrical Testing (E-Test) – เป็นการตรวจสอบทางไฟฟ้าเพื่อตรวจหาข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการผลิต เช่น วงจรขาด (Open Circuit) หรือวงจรลัด (Short Circuit) โดยจะใช้เครื่องมืออัตโนมัติที่มีหัววัดไฟฟ้าแตะลงบนตำแหน่ง Pad ต่าง ๆ ตามข้อมูลในไฟล์ทดสอบ ซึ่งมักสร้างจากไฟล์ Gerber เพื่อเปรียบเทียบกับวงจรต้นแบบ หากพบความคลาดเคลื่อนจะทำการแยกบอร์ดที่ผิดออกจากกระบวนการผลิตทันที
  • Inspection – การตรวจสอบด้วยสายตา (Visual Inspection) และการใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น AOI (Automated Optical Inspection) ซึ่งเป็นเครื่องกล้องความละเอียดสูง ตรวจจับข้อบกพร่องที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น รอยขีดข่วน ทองแดงหลุด ลายวงจรขาด หรือ Solder Mask เคลือบผิดพลาด AOI ยังสามารถเปรียบเทียบภาพแผ่นจริงกับแบบต้นฉบับได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การตรวจสอบมีความแม่นยำสูงและรวดเร็ว
  • Standard Compliance – แผ่นวงจรต้องผ่านมาตรฐานคุณภาพอุตสาหกรรม เช่น IPC-6012 (สำหรับ PCB ที่ใช้ในงานทั่วไป) หรือมาตรฐานระดับสูงกว่าสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น การแพทย์ อากาศยาน หรือยานยนต์ ซึ่งมีข้อกำหนดที่เข้มงวดในด้านความคงทน ความแม่นยำ และความเสถียรของสัญญาณไฟฟ้า

การตรวจสอบคุณภาพถือเป็นด่านสุดท้ายที่คัดกรองแผ่นวงจรที่มีปัญหาออกไป ช่วยลดต้นทุนจากการเคลมสินค้า และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ปลายทางว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยในการใช้งาน

แนวโน้มการพัฒนา PCB ในยุคเทคโนโลยีเร่งตัว

ความต้องการด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น 5G, EV, IoT และอุปกรณ์ทางการแพทย์ กำลังผลักดันให้วงการ PCB ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังแนวโน้มสำคัญต่อไปนี้:

มิติการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
ความละเอียดของวงจรเดินสายความถี่สูงมากขึ้น (High-Speed/HDI PCB)
วัสดุฐานใช้วัสดุ Low Dk/Low Loss สำหรับ RF
จำนวนชั้นเพิ่มจาก 4-6 ชั้น ไปสู่ 12+ ชั้นในงานเฉพาะทาง
ความหนาแน่นMicrovia, Buried Via, Laser Drilling เพิ่มความจุ
ความยั่งยืนพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล PCB เพื่อลดขยะอิเล็กทรอนิกส์

จากแผ่นใยแก้วสู่หัวใจของเทคโนโลยี

เบื้องหลังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้งานกันทุกวัน คือแผ่น PCB ที่ผ่านกระบวนการทางวิศวกรรมอันละเอียดอ่อน ตั้งแต่การออกแบบที่แม่นยำ การผลิตที่ใช้เทคนิคขั้นสูง ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพระดับไมโคร ทุกขั้นตอนล้วนสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เรามองไม่เห็น

เมื่อเทคโนโลยีก้าวสู่โลกแห่ง AI, EV และอวกาศ ความซับซ้อนของ PCB ก็จะยิ่งทวีขึ้น เช่นเดียวกับบทบาทของวิศวกร PCB ที่จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในโลกยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ