อุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board – PCB) และเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor หรือสารกึ่งตัวนำ) นับเป็นฟันเฟืองสำคัญของโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งคู่เป็นส่วนประกอบหลักในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรมขั้นสูง บทความนี้จะวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย ทั้งสถานการณ์ปัจจุบัน ปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแนวโน้มอนาคตที่นักลงทุนควรจับตามอง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจโอกาสและความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ประเทศไทยเคยมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์โลกในฐานะฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหลัก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนโลกและนโยบายภาครัฐได้ผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ระดับภูมิภาค ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ (เช่น สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ หรือแม้แต่เหตุการณ์การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ) และบทเรียนจากการหยุดชะงักของซัพพลายเชนในช่วงโควิดได้กระตุ้นให้บริษัทเทคโนโลยีมองหาแหล่งผลิตใหม่ ๆ นอกเหนือจากจีน
ไทยคือหนึ่งในประเทศที่ได้รับอานิสงส์นี้ เสริมด้วยจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้ง แรงงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ปัจจุบันอุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์และเซมิคอนดักเตอร์ของไทยมีแนวโน้มสดใสและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
ภาพรวมและสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรม PCB ไทย
อุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ของไทยกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นฐานการผลิต PCB ชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน และก้าวขึ้นสู่อันดับท็อป 5 ของโลกในด้านการผลิต PCB
จากการหลั่งไหลของนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายฐานการผลิตมายังไทย สะท้อนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของไทยในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์โลก การสนับสนุนจากภาครัฐและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ผู้ผลิตแผงวงจรยักษ์ใหญ่ระดับโลกตัดสินใจตั้งโรงงานในประเทศ นำมาซึ่งเม็ดเงินลงทุนมหาศาลและเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่
การลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ PCB ไทย
ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การลงทุนในอุตสาหกรรม PCB ไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงเดือนมกราคม 2566 ถึง กันยายน 2567 มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มนี้ถึง 95 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 162,000 ล้านบาท ขณะที่ค่าเฉลี่ยการลงทุนต่อปีในช่วงก่อนหน้านั้น (2564–2565) อยู่ที่เพียงปีละ ~15,000 ล้านบาทเท่านั้น เรียกได้ว่าการลงทุนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวภายในระยะเวลาอันสั้น
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับสถิติของกระทรวงพาณิชย์ที่ระบุว่า เฉพาะปี 2566 มีโครงการลงทุน PCB ใหม่ 45 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 92,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 323% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ที่มี 20 โครงการ มูลค่า 21,800 ล้านบาท) ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าไทยกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต PCB แห่งใหม่ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ
ผู้เล่นหลักในตลาดและเหล่าบริษัทต่างชาติที่ลงทุน PCB ไทย
เงินลงทุนส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา มาจากบริษัทในจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแผงวงจรโลก โดยยักษ์ใหญ่หลายรายได้ประกาศตั้งโรงงานหรือเริ่มเดินเครื่องผลิตในไทย อาทิ Unimicron, Compeq, WUS, Gold Circuit, Chin Poon, Dynamic Electronics, Apex Circuit, Unitech และ Well Tek นอกจากนี้ ผู้ผลิตเดิมที่มีฐานอยู่แล้วในไทยอย่างบริษัทญี่ปุ่น Mektec และบริษัทไทย KCE Electronics ก็ได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมในช่วงปีที่ผ่านมา
การหลั่งไหลของผู้ผลิต PCB ระดับโลกกว่า 20 รายที่เข้ามาสร้างโรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรอบกรุงเทพฯ และ EEC ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ถือเป็น ‘คลื่นการลงทุน’ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย
แนวโน้มนี้ยังดึงดูดธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ตามมาด้วย เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบสำคัญอย่างแผ่นรองวงจร (Prepreg) และแผ่นทองแดงเคลือบ (Copper Clad Laminate) ซึ่งมีแผนจะมาตั้งฐานการผลิตในไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเพื่อสร้างซัพพลายเชนภายในประเทศที่ครบวงจรมากขึ้น
บทบาทของ EEC และการสนับสนุนจากภาครัฐไทยต่ออุตสาหกรรม PCB
ความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนนี้เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ด้านหนึ่ง คือ เทรนด์การย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และกระจายความเสี่ยงของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งทำให้ไทยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจากความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ แรงงานฝีมือ และต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้
อีกด้านหนึ่ง คือ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ PCB อย่างต่อเนื่อง ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 8 ปี การยกเว้นอากรนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักร ตลอดจนการอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถตั้งโรงงานได้รวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง มีโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมพร้อมรองรับการลงทุนใหม่ ๆ ส่งผลให้กว่า 78% ของมูลค่า FDI ทั้งประเทศในปี 2567 กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ EEC
โดยหมวดอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) เป็นหมวดที่มีมูลค่าลงทุนสูงสุดใน EEC (ประมาณ 256,000 ล้านบาทในปีดังกล่าว) ตามมาด้วยดิจิทัลและยานยนต์สมัยใหม่ การสนับสนุนเชิงนโยบายเหล่านี้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและเอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB ไทยอย่างยั่งยืน
การผลิต PCB ไทยเพื่อส่งออกและการเติบโตของตลาดโลก
แม้ไทยจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในแง่การลงทุนขนาดใหญ่ แต่ในด้านการผลิต ไทยครองส่วนแบ่งการส่งออก PCB อันดับที่ 7 ของโลก (อันดับ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์) ในปี 2566 โดยมีมูลค่าส่งออกประมาณ 1.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของการส่งออก 1.86% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สถิตินี้สะท้อนว่าผู้ผลิตในประเทศ (เช่น KCE และกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ) มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกอยู่แล้ว เมื่อรวมกับกำลังการผลิตใหม่ ๆ จากนักลงทุนต่างชาติ ไทยมีแนวโน้มจะยกระดับสถานะในการเป็นศูนย์กลางการผลิต PCB ของโลกมากขึ้นอีก ปัจจุบันการผลิต PCB ของไทยมีการกระจุกตัวในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการสูง เช่น แผงวงจรชนิดหลายชั้นและ HDI ที่ใช้ในอุปกรณ์ทันสมัย และ แผงวงจรยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญดั้งเดิมของไทยด้านอุตสาหกรรมยานยนต์
แนวโน้มความต้องการเหล่านี้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดโลก จากการที่อุปกรณ์หลากหลายชนิดมีการติดตั้งชิปและส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่มีระบบไฟฟ้าและไฮเทค โทรคมนาคม 5G หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ส่งผลให้ตลาด PCB โลกที่มีมูลค่า ~86.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.8% จนแตะ 1.52 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2033
ไทยเป็นฐานการผลิตใหม่ในตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรม PCB ไทยอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างเด่นชัด ไทยปรากฏตัวบนแผนที่การลงทุนโลกในฐานะแหล่งผลิตแผงวงจรที่น่าเชื่อถือ มีทั้งผู้เล่นรายเก่าและรายใหม่ลงทุนขยายกำลังผลิตกันอย่างคึกคัก ปัจจัยสนับสนุนทั้งภายในและภายนอกประเทศกำลังเอื้อให้ไทยก้าวสู่ “ยุคทอง” ของอุตสาหกรรม PCB ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ต่อไป
สถานการณ์ของเซมิคอนดักเตอร์ในไทยและโรงงานที่กำลังเกิดขึ้น
ขณะที่อุตสาหกรรม PCB กำลังรุ่งโรจน์ ภาคเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ของไทยก็กำลังเริ่มก้าวย่างที่สำคัญเช่นกัน แม้ในอดีตประเทศไทยจะไม่มีฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงอย่างการผลิตเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) เหมือนหลายประเทศคู่แข่ง แต่ไทยก็มีจุดแข็งในส่วนการประกอบและทดสอบชิ้นส่วน (Backend Assembly & Testing) และการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังได้รับแรงหนุนจากทั้งภาครัฐและดีมานด์ใหม่ ๆ ในตลาด เทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อัจฉริยะได้สร้างโอกาสให้ไทยพัฒนากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ จนเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติและโครงการขนาดใหญ่ในช่วงปีที่ผ่านมา
Foxconn และ Infineon กับบทบาทใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทย
รัฐบาลไทยเล็งเห็นความสำคัญของการสร้างศักยภาพในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างชัดเจน ล่าสุดได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (National Semiconductor and Advanced Electronics Policy Committee) ขึ้นในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อวางกลยุทธ์และพัฒนาบุคลากรด้านนี้โดยเฉพาะ เป้าหมายสำคัญ คือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้ได้ 500,000 ล้านบาทภายในปี 2572
นับเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ก็สะท้อนความมุ่งมั่นของภาครัฐในการยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์ของเอเชียให้ได้ในอนาคตอันใกล้ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI สำหรับกิจการเซมิคอนดักเตอร์นั้นใกล้เคียงกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ คือ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยกรณีล่าสุดที่เป็นรูปธรรม คือ การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 10,500 ล้านบาทแก่โครงการของบริษัท Unique Integrated Technology (บริษัทย่อยของ Foxsemicon ภายใต้เครือ Foxconn) เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และระยอง (ใจกลางเขต EEC)
โครงการนี้จะผลิตชิ้นส่วน เช่น ชิลด์ ห้องสูญญากาศ วาล์วความบริสุทธิ์สูง และโมดูลย่อย สำหรับเครื่องจักรผลิตเวเฟอร์ชิป และคาดว่าจะสร้างงานกว่า 1,400 ตำแหน่ง พร้อมทั้งสร้างมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 6,000 ล้านบาท และใช้วัตถุดิบภายในประเทศประมาณ 25%
การลงทุนของบริษัทในเครือ Foxconn ดังกล่าว ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงว่าบริษัทไฮเทคระดับโลกมองเห็นศักยภาพของไทยในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ อีกทั้งเป็นจังหวะเดียวกับที่ไทยกำลังร่าง ยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ทำให้โครงการนี้ “มาได้ถูกที่ถูกเวลา” ตามคำกล่าวของเลขาธิการ BOI
นอกจากกรณี Foxconn แล้ว ยังมีสัญญาณบวกจากนักลงทุนฝั่งตะวันตก เช่น Infineon Technologies บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์จากเยอรมนี ซึ่งได้ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงาน Backend Fab แห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ (ใกล้กรุงเทพฯ) เพื่อผลิตชิ้นส่วน Power Module สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานหมุนเวียน โดยโรงงานนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อต้นปี 2568 และวางแผนเปิดดำเนินการในปี 2569 เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของชิปกำลัง (Power Semiconductors)
การเข้ามาของ Infineon ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับต้น ๆ ของโลก แสดงถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยเอื้อของไทย ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งในอาเซียน ระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เริ่มก่อตัว และแรงสนับสนุนจากรัฐบาลไทย โดย BOI และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลได้ร่วมพิธีเปิดงานก่อสร้างและให้คำมั่นที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่งสัญญาณว่าประเทศไทยพร้อมก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกอย่างจริงจัง
จุดแข็งของไทยในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ระดับอาเซียน
ปัจจุบัน ไทยอาจยังไม่มีโรงงานผลิตชิปขั้นสูง (เช่น โรงงานผลิตโปรเซสเซอร์ขนาดนาโนเมตรระดับโลก) แต่ไทยมีฐานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่งซึ่งเกื้อหนุนการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์หลายด้าน เช่น โรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เก็บข้อมูล (Hard Disk Drive) ที่ดำเนินการโดยบริษัทข้ามชาติอย่าง Western Digital และ Seagate เป็นต้น รวมถึงบริษัทไทยอย่าง Hana Microelectronics ที่เชี่ยวชาญด้านการประกอบและทดสอบชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์เพื่อส่งออกมานานหลายทศวรรษ ดังนั้นการขยายการลงทุนเข้าสู่เซมิคอนดักเตอร์ยุคใหม่ (เช่น ชิปสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ IoT) สามารถต่อยอดจากทรัพยากรบุคคลและประสบการณ์ที่ไทยมีอยู่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติ เช่นเดียวกับกรณีของ PCB เมื่อบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง BYD (ผู้ผลิต EV รายใหญ่ของจีน) เปิดโรงงานในไทยเมื่อกลางปี 2567 ก็เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากจีนตามเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อป้อนชิ้นส่วนให้กับ EV เหล่านั้นด้วย โดย BOI คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากค่ายรถ EV จีนที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยและอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสทองของโรงงาน PCB และผู้ผลิตชิปยานยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่จะตามเข้ามา
นอกจากนี้ ไทยยังดึงดูดผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์รายสำคัญจากไต้หวันและจีน (เช่น ในกรณี Foxsemicon ข้างต้น) ทำให้ปัจจุบันในภาพรวมมูลค่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทยอยู่ที่ราว 2.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% จนถึงปี 2573 ตามดีมานด์ของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น
ตัวเลขการลงทุนส่งเสริมของ BOI เองก็สะท้อนภาพนี้เช่นกัน กล่าวคือในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 โครงการในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ มีจำนวนมากที่สุดถึง 291 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 183,000 ล้านบาท จากมูลค่าคำขอส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด 723,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อนหน้า และสูงสุดตั้งแต่ปี 2558) แสดงให้เห็นว่าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ คือ พระเอกในการลงทุนยุคใหม่ของประเทศเลยทีเดียว
ความท้าทายของไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีชิปขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม การสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้ครบวงจรยังมีความท้าทาย ไทยยังขาดเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในด้านการผลิตชิปขั้นสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่เป็นผู้นำ (เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้) ดังนั้น การถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาบุคลากรจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน รัฐบาลได้เล็งเห็นจุดนี้และกำลังเร่งดำเนินการพัฒนาทักษะแรงงานควบคู่ไปด้วย เช่น การ Up-skill/Re-skill บุคลากรจากอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรกลเดิมให้มีทักษะในสายอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อรองรับตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นจำนวนมาก คาดการณ์ว่าในระยะไม่กี่ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมนี้จะสร้างงานได้สูงถึงหลัก แสนอัตรา และใช้วัตถุดิบภายในประเทศปีละแสนล้านบาทในการผลิต
นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทต่างชาติบางรายที่ถือเป็นการลงทุนผลิตชิปนอกประเทศตนเองครั้งแรก (เช่น บริษัทจีนหลายรายที่มาตั้งฐานผลิต PCB/ชิปในไทยครั้งแรก) ก็อาจมีช่วงการปรับตัวและความท้าทายในการดำเนินงานเนื่องจากความแตกต่างด้านสภาพแวดล้อมธุรกิจและวัฒนธรรมการทำงาน ซึ่งไทยจะต้องสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนผู้ลงทุนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถเติบโตไปได้อย่างราบรื่น
โดยรวมแล้ว สถานการณ์เซมิคอนดักเตอร์ของไทยกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโตแบบก้าวกระโดด มีสัญญาณเชิงบวกจากทั้งการลงทุนและนโยบาย แม้จะยังตามหลังกลุ่ม PCB อยู่บ้าง แต่แนวโน้มระยะกลางถึงยาวก็น่าจะพัฒนาไปควบคู่กัน และเติมเต็มซึ่งกันและกันในฐานะห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ที่ครบวงจรมากขึ้น
แนวโน้มอุตสาหกรรม PCB ไทยปี 2568 และทิศทางในอนาคต
เมื่อมองไปข้างหน้ามีแนวโน้มหรือกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบในวงกว้างและยาวนานหลายประการ ที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ไทย ทั้งในด้านโอกาสการเติบโตและรูปแบบการแข่งขันในอนาคต ซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดยกตัวอย่างเช่น
อุตสาหกรรม PCB และชิปกับความต้องการจาก EV และยานยนต์อัจฉริยะ
การเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles) เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ โดยประเทศไทยมีนโยบายมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในอาเซียน ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนและยุโรปหลายราย (เช่น BYD, Great Wall Motor, Foxconn-PTT (Horizon Plus)) เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตในไทยระยะนี้ การเพิ่มกำลังผลิต EV ในไทยย่อมหมายถึง ความต้องการแผงวงจรและชิปจำนวนมหาศาล สำหรับใช้ในรถ ทั้งในส่วนระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System) ระบบควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ตลอดจนระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถ จากข้อมูลปี 2566 ยอดขายรถ EV ในไทยพุ่งขึ้นถึง 50% สะท้อนดีมานด์ผู้บริโภคที่เติบโตเร็วและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตเร่งขยายกำลังการผลิต EV ซึ่งจะเพิ่มความต้องการชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศอย่างมาก ชิปที่ใช้ในยานยนต์ต้องการความทนทานและมาตรฐานสูง ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ดั้งเดิมหลายรายของไทยเริ่มปรับตัวสู่การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างชาติที่เชี่ยวชาญชิปยานยนต์ เช่น ผู้ผลิต Power Semiconductor สำหรับระบบขับเคลื่อน EV ก็มีแนวโน้มเข้ามาตั้งฐานในไทย เพื่ออยู่ใกล้โรงงานประกอบรถและลดต้นทุนโลจิสติกส์ นอกจากนี้ เทรนด์ EV ยังรวมถึงยานยนต์อัจฉริยะ (Smart Car) ที่มีระบบช่วยขับขี่และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งต้องอาศัยชิปและเซ็นเซอร์ขั้นสูงเพิ่มเติม นับเป็นอีกแรงส่งให้ตลาดชิปในยานยนต์เติบโตแบบทวีคูณ นักวิเคราะห์มองว่าการที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับต้น ๆ มายาวนาน หากปรับตัวสู่ยุค EV ได้รวดเร็ว ไทยก็จะมีศักยภาพที่จะเป็นฐานผลิตอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ไม่แพ้การผลิตตัวรถเช่นกัน
บทบาทของ PCB และชิปในเทคโนโลยี 5G และ IoT
การขยายตัวของเครือข่าย 5G ในประเทศไทยและภูมิภาค จะเพิ่มความต้องการอุปกรณ์โครงข่าย (เช่น เสาสัญญาณ, เราเตอร์) และอุปกรณ์ปลายทาง (สมาร์ทโฟน, IoT Devices) เป็นอย่างมาก อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนประกอบด้วย PCB และชิปจำนวนมาก ประเทศไทยเริ่มเปิดใช้ 5G เชิงพาณิชย์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กำลังเห็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพิ่มขึ้น BOI รายงานว่าในปี 2567 มีโครงการลงทุนด้านดิจิทัลและศูนย์ข้อมูลมูลค่ารวมเกือบแสนล้านบาท สิ่งนี้จะกระตุ้นความต้องการสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น อุปกรณ์เครือข่าย 5G ต้องใช้แผงวงจรความถี่สูง (High-Frequency PCB) และชิปเฉพาะทางจำนวนมาก ขณะเดียวกัน Internet of Things (IoT) หรืออุปกรณ์อัจฉริยะที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฮม สมาร์ทซิตี้ หรือระบบโรงงานอัจฉริยะ IoT เหล่านี้ล้วนเพิ่มปริมาณการใช้ชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ เซ็นเซอร์ และโมดูลสื่อสารขนาดเล็ก ๆ จำนวนมหาศาล เทรนด์นี้เปิดโอกาสให้ไทยซึ่งมีฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วสามารถดึงดูดการลงทุนผลิตชิปหรือโมดูลสำหรับ IoT ได้เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ IoT ของตนเอง ความก้าวหน้าของ 5G และ IoT ยังสอดรับกับที่ ผู้ผลิต PCB ในไทยอย่าง Mektec ชี้ว่า การขยายตัวของ 5G และอุปกรณ์ IoT คือ ปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้อุตสาหกรรม PCB เติบโตต่อเนื่องในไทย กล่าวคือ ยิ่งอุปกรณ์เชื่อมต่อมาก ชิ้นส่วนอย่างแผงวงจรและชิปก็ยิ่งขายดีตามไปด้วย
ความสำคัญของระบบอัตโนมัติและ AI ต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในภาคการผลิตและบริการกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งเครื่องจักรเหล่านี้ต้องการทั้งแผงวงจรควบคุมและเซ็นเซอร์จำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรมก็ต้องพึ่งพาชิปประมวลผลสมรรถนะสูง (เช่น GPU, ASIC เฉพาะทาง) ซึ่งแม้ไทยอาจยังไม่ได้ผลิตชิประดับนั้น แต่ความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกจะส่งผลให้เกิดการลงทุนขยายกำลังการผลิตชิป (PCB เองก็ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เช่นกัน) ในระดับภูมิภาค อาจผ่านทางบริษัทผู้รับจ้างผลิต (Foundry/OSAT) ที่ขยายสาขามายังอาเซียน หรือการตั้งโรงงานประกอบเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ไทยเองก็มีนโยบาย Industry 4.0 และโรงงานอัจฉริยะ ที่ส่งเสริมให้ภาคการผลิตใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น จึงเพิ่มอุปสงค์ทั้งหุ่นยนต์และเซ็นเซอร์ในประเทศด้วย เทรนด์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาหุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ที่รัฐบาลสนับสนุน ดังนั้นเราอาจเห็นความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตหุ่นยนต์/ระบบอัตโนมัติระดับโลกกับไทยมากขึ้น รวมถึงมีการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องในประเทศควบคู่ไปด้วย
Re-Shoring / Friend-Shoring กับบทบาทของไทยในซัพพลายเชนโลก
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคต สงครามการค้าและความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างชาติมหาอำนาจ (เช่น มาตรการควบคุมการส่งออกชิปไปจีนของสหรัฐฯ) อาจนำไปสู่การจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่ซับซ้อน บริษัทตะวันตกอาจมองหาประเทศพันธมิตรในการตั้งโรงงานผลิตชิปหรือชิ้นส่วน (ซึ่งไทยจัดว่าเป็นมิตรกับทุกฝ่ายและมีความเป็นกลาง) ขณะที่จีนและไต้หวันเองก็ต้องกระจายฐานการผลิตมานอกประเทศเพื่อลดความเสี่ยง ไทยจึงอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบจากนโยบาย “China+1” ที่บริษัทยักษ์ใหญ่กระจายการผลิตจากจีนสู่ประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วในฝั่ง PCB อย่างชัดเจนและคาดว่าจะเกิดกับฝั่งเซมิคอนดักเตอร์ตามมา โดยเฉพาะในส่วนชิ้นส่วนและการประกอบที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ R&D มากนัก แนวโน้ม Friend-Shoring (ย้ายการผลิตไปยังประเทศพันธมิตร) จะทำให้ไทยในฐานะพันธมิตรสหรัฐฯ และคู่ค้าจีน ได้รับโอกาสดึงดูดโรงงานจากทั้งสองฝั่งเข้ามา อย่างไรก็ดี เทรนด์ Re-Shoring (การดึงการผลิตกลับประเทศตนเอง เช่น สหรัฐฯ และยุโรปสร้างโรงงานชิปในประเทศเพิ่ม) ก็อาจเป็นข้อจำกัดต่อไทยในระยะยาว หากเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง เพราะอาจลดการพึ่งพาการผลิตในเอเชียลงบ้าง แต่ในภาพรวมระยะ 5-10 ปีข้างหน้า อุปสงค์ชิปและแผงวงจรโลกยังสูงเกินกว่าที่แต่ละประเทศจะผลิตรองรับเองหมด การกระจายการผลิตข้ามชาติจึงยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ ไทยจึงควรใช้ช่วงเวลานี้ในการสถาปนาตนเองเป็นห่วงโซ่สำคัญที่ขาดไม่ได้ เพื่อรักษาการเติบโตระยะยาวแม้สภาพภูมิรัฐศาสตร์จะเปลี่ยนไป
การเติบโตของตลาดโลกและคลื่นวัฏจักรอุตสาหกรรม
ดังที่กล่าวถึงก่อนหน้า ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปัจจัยโครงสร้าง (เช่น คนเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น, ยานยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด ฯลฯ) แต่ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ก็ขึ้นชื่อเรื่อง วัฏจักร (Cyclical) ที่เป็นช่วงขาขึ้น-ขาลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกและสินค้าบางประเภท เช่น ช่วงปี 2022 โลกประสบปัญหาชิปขาดตลาด จากดีมานด์ที่พุ่งสูงหลังโควิด แต่ถัดมาในปี 2023-2024 ก็เริ่มกลับสู่สมดุลและบางเซกเมนต์เกิดภาวะอุปทานล้นตลาด นักวิเคราะห์คาดว่าปี 2024 อุตสาหกรรมชิปโลกจะกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยอาจโตเฉลี่ยถึง 20% ในบางหมวด
สำหรับไทยเอง การมีฐานการผลิตที่หลากหลาย (ไม่ได้พึ่งสินค้าเดียว) จะช่วยลดผลกระทบจากวัฏจักรของสินค้าใดสินค้าหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับความผันผวนนี้ เช่น ความยืดหยุ่นในกำลังการผลิต (กรณี Infineon วางแผนขยายการผลิตแบบค่อยเป็นค่อยไปตามความต้องการตลาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากวัฏจักร) ในระยะยาว ตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกยังถือว่ามีทิศทางขาขึ้นที่แข็งแกร่งจากกระแสดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม ดังที่ Infineon มองว่าปัจจัย Decarbonization และ Digitalization เป็นแรงขับเคลื่อนโครงสร้างที่ทำให้ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไทยควรติดตามสถานการณ์ตลาดโลกอย่างใกล้ชิดและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศให้พร้อมรับทั้งโอกาสในยามขาขึ้นและความท้าทายในยามขาลงของวงจรอุตสาหกรรม
โอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย
โอกาสสำหรับนักลงทุนจากภาพรวมที่กล่าวมา ชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ อย่างแรก โอกาสในการเติบโตนั้นเด่นชัดมาก อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศกำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งรัฐบาลยังหนุนเต็มที่ นักลงทุนที่เข้ามาในช่วงนี้จึงมีศักยภาพที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการเติบโตในระยะกลาง-ยาว ยิ่งไปกว่านั้น การที่ไทยกลายเป็นฮับของผู้ผลิตชั้นนำหลายราย ทำให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่เอื้อต่อผู้เล่นรายใหม่ ๆ ด้วย เช่น ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าร่วมซัพพลายเชนของค่ายต่างชาติ เห็นได้จากการที่โรงงาน PCB ต่างชาติในไทยจะต้องใช้วัตถุดิบในประเทศกว่าแสนล้านบาทต่อปี ก็เปิดช่องให้บริษัทไทยเข้าไปเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนสนับสนุนมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำแผ่นวงจรพิมพ์รูปแบบมาตรฐาน เพื่อป้อนให้รายใหญ่ การผลิตชิ้นส่วนประกอบเครื่องจักร หรือแม้แต่การให้บริการด้านวิศวกรรมเครื่องมือวัดและการทดสอบ เป็นต้น นอกจากนี้ ธุรกิจไทยยังสามารถ ร่วมทุนหรือจับมือพันธมิตรต่างชาติ เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีและขยายตลาดไปต่างประเทศ ผ่านโครงการลงทุนใหม่ ๆ ที่เข้ามา (เช่น การร่วมเป็นซัพพลายเออร์ให้ Foxconn หรือ Infineon ย่อมเปิดโอกาสสู่ตลาดโลก) สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ไทยนับเป็นทำเลทองด้วยปัจจัยพร้อมสรรพ ทั้งต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่มีแรงงานฝีมือและวิศวกรจำนวนมากจากอุตสาหกรรมที่ไทยมีฐานเดิมอยู่ เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต ในไทยถือว่าค่อนข้างพร้อมเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค รวมถึงไทยมีซัพพลายเออร์ท้องถิ่นหลายด้านและฐานอุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น แม่พิมพ์และเครื่องจักรกลที่เข้มแข็ง สามารถรองรับการตั้งโรงงานไฮเทคได้ดี ข้อดีอีกประการ คือ ไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ (เช่น FTA อาเซียน, RCEP ฯลฯ) ทำให้สินค้าที่ผลิตในไทยสามารถส่งออกไปตลาดใหญ่ ๆ ได้ โดยภาษีต่ำหรือเป็นศูนย์ เพิ่มความน่าสนใจในฐานะศูนย์การผลิตเพื่อส่งออก ที่สำคัญ คือ เสถียรภาพเชิงนโยบายในด้านการลงทุนที่ไทยรักษามาต่อเนื่องหลายรัฐบาล แม้การเมืองไทยจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่แนวนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างอิเล็กทรอนิกส์นั้นยังต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติยังได้รับการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับนักลงทุนในตลาดทุนการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ก็อาจหมายถึง โอกาสในการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่เกี่ยวข้อง บริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ผู้ผลิตแผงวงจร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า) น่าจะได้รับประโยชน์จากกระแสนี้ เห็นได้จากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม PCB/ชิปหลายรายที่มีแนวโน้มดีตามผลประกอบการที่เติบโต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและความเสี่ยงของแต่ละบริษัทเป็นกรณีไป
แม้โอกาสจะมีมากแต่นักลงทุนก็ไม่ควรมองข้ามความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาและข้อควรระวังในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน ประการแรก คือ การแข่งขันระหว่างประเทศ ในขณะที่ไทยเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม PCB/เซมิคอนดักเตอร์ ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งก็มีเป้าหมายใกล้เคียงกัน เวียดนาม กลายเป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดจากการลงทุนของบริษัทไอทีโลก (เช่น Samsung, LG) และกำลังดึงดูดโรงงานผลิตชิ้นส่วนและชิปบางส่วน (ล่าสุดบริษัทแพ็กเกจจิ้งชิปขนาดใหญ่อย่าง Amkor ก็ไปลงทุนในเวียดนาม) ส่วนมาเลเซีย มีอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่งมายาวนาน (เป็นที่ตั้งโรงงานประกอบ/ทดสอบของ Intel, Infineon และบริษัทชั้นนำหลายราย) หมายความว่า ไทยต้องแข่งขันในการดึงดูดเงินลงทุนและบุคลากรกับประเทศเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนต่างชาติจะเปรียบเทียบสิ่งจูงใจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของไทยกับประเทศอื่น หากไทยหยุดพัฒนาความสามารถแข่งขัน ไม่ปรับปรุงกฎระเบียบหรือโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย ก็อาจสูญเสียโอกาสให้คู่แข่งได้ อีกด้านหนึ่ง ความเสี่ยงด้านบุคลากรและเทคโนโลยีก็สำคัญ การขยายตัวอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะวิศวกรและช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิปขั้นสูง ซึ่งในไทยยังมีจำนวนจำกัด การเตรียมคนไม่ทันอาจกลายเป็นคอขวดฉุดรั้งการเติบโต บริษัทอาจต้องนำเข้าผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลและเอกชนต้องร่วมกันแก้ไขผ่านการพัฒนาคนในระยะสั้นและยาว (เช่น ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการผลิตบัณฑิตตรงสาย การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทาง เป็นต้น) นอกจากนี้ ในการดำเนินธุรกิจ มาตรฐานคุณภาพและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ผู้ผลิตไทยต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเวทีโลกปัจจุบัน คู่ค้าและลูกค้าปลายทางให้ความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีธรรมาภิบาล บริษัทไทยที่จะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ระดับโลกต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด เช่น มาตรฐานการจัดการของเสียอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การใช้สารเคมีที่ปลอดภัย ตามที่หน่วยงานอย่างสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้เน้นย้ำไว้ว่า ผู้ผลิต PCB ไทยควรปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบสากลอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนโลก หากบริษัทใดละเลยเรื่องนี้ อาจเสี่ยงต่อการถูกกีดกันทางการค้าในอนาคตได้
ในเชิงมหภาค ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก ก็เป็นปัจจัยที่ต้องจับตา หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในตลาดใหญ่ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็อาจหดตัวและกระทบต่อคำสั่งซื้อจากโรงงานในไทย นักลงทุนควรคำนึงถึงความผันผวนนี้ในการวางแผนลงทุน นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะไม่กระทบต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุนมากนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนต่างชาติระมัดระวัง การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและชัดเจนจึงเป็นสิ่งที่ไทยต้องรักษาไว้เพื่อไม่ให้บรรยากาศการลงทุนสะดุด
สำหรับนักลงทุนแล้ว อุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ไทยเปรียบเสมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน ด้านหนึ่ง มีโอกาสเติบโตสูงและปัจจัยหนุนมากมาย แต่อีกด้านก็มีความท้าทายและความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้ก่อนใคร พร้อมกับมีแผนรองรับความเสี่ยงที่รัดกุม
ไทยเป็นฮับการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ระดับอาเซียนหรือไม่?
อุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ของไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าตื่นเต้น จากเดิมที่ไทยเป็นฐานผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รอง ๆ เมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่อย่างจีนหรือไต้หวัน วันนี้ไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการผลิตในสายอุตสาหกรรมนี้ที่ทั่วโลกจับตามอง เห็นได้ชัดจากเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศในช่วงปี 2566-2567 และโครงการขนาดใหญ่จากบริษัทชั้นนำที่ต่อคิวกันเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นโรงงานแผงวงจรพิมพ์หลายสิบแห่งจากนักลงทุนเอเชีย หรือโรงงานผลิตชิปจากยุโรป นี่คือสัญญาณว่าประเทศไทยกำลังยกระดับบทบาทในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก จากฐานการผลิตระดับกลางสู่ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์
อนาคตข้างหน้า ขึ้นอยู่กับความสามารถของไทยในการรักษาแรงส่ง (Momentum) นี้ไว้และต่อยอดให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว หากแผนยุทธศาสตร์และการพัฒนาบุคลากรของภาครัฐดำเนินไปได้ตามเป้า ภายในครึ่งหลังของทศวรรษนี้ เราอาจได้เห็นไทยกลายเป็นหนึ่งในฮับเซมิคอนดักเตอร์ของภูมิภาค มีระบบนิเวศที่ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตแผงวงจร วัสดุชั้นนำ การประกอบชิป จนถึงการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป และเมื่อถึงเวลานั้น ไทยจะสามารถก้าวขึ้นไปแข่งขันในตลาดโลกอย่างเต็มภาคภูมิ ในขณะเดียวกัน นักลงทุนที่เข้ามาบุกเบิกตั้งแต่วันนี้ก็มีแนวโน้มจะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า อย่างที่นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การลงทุนของ Infineon ในไทยเป็นมากกว่าแค่หมุดหมายของบริษัท แต่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าวงการเซมิคอนดักเตอร์ของทั้งประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว
แน่นอนว่าเส้นทางนี้อาจไม่ราบรื่นไปทั้งหมด ไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันและความท้าทายหลายประการ แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง การสนับสนุนจากภาครัฐ และความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ในภาพใหญ่แล้ว ทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ไทยยังคงสดใส และเต็มไปด้วยโอกาส ในฐานะนักลงทุนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การมีข้อมูลเชิงลึกและมุมมองรอบด้านจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น บทความนี้ซึ่งเป็นภาพรวมเชิงวิเคราะห์ก็เปรียบเหมือนแผนที่นำทาง ให้เห็นภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรม โดยผู้อ่านสามารถศึกษาประเด็นย่อยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลหรือบทวิเคราะห์เฉพาะทางอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ก่อนที่จะก้าวไปพร้อมกับคลื่นการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยยุคใหม่อย่างมั่นใจและยั่งยืน