แม้จะดูสะอาดและล้ำสมัย แต่อุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์กลับเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงที่สุดในสายการผลิตยุคใหม่ ตั้งแต่การสกัดวัตถุดิบ ไปจนถึงกระบวนการชุบโลหะ การผลิตเวเฟอร์ หรือแม้แต่ระบบควบคุมความสะอาดของ Cleanroom ซึ่งต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีการปล่อยของเสียที่มีโลหะหนัก สารเคมี และก๊าซที่มีค่าทำลายชั้นบรรยากาศสูง ซึ่งมักจะไม่ถูกรับรู้โดยผู้บริโภคทั่วไป
ในยุคที่ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่คำขวัญเชิง CSR แต่กลายเป็นข้อกำหนดของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ผู้ผลิตที่ยังคงมองข้ามเรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังอยู่ในความเสี่ยง ไม่เพียงแค่สูญเสียความเชื่อมั่นจากคู่ค้าหลัก แต่ยังอาจถูกกีดกันทางการค้า ถูกขึ้นภาษีสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ถูกตัดสิทธิ์จากการเข้าร่วมซัพพลายเชนของแบรนด์ใหญ่ ๆ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นข้อบังคับใหม่สำหรับการอยู่รอดและเติบโตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ปัจจัยขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรม PCB / เซมิคอนดักเตอร์
- กฎระเบียบจากประเทศปลายทาง – ผู้ส่งออก PCB ไปยังตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะกฎระเบียบอย่าง RoHS (Restriction of Hazardous Substances) ซึ่งห้ามใช้สารอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารหน่วงไฟประเภท PBB/PBDE ในกระบวนการผลิต PCB หรือวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้ง REACH (Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) ยังบังคับให้ผู้ผลิตต้องแจ้งและควบคุมการใช้สารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
- ความต้องการจากลูกค้า B2B – แบรนด์ไอทีระดับโลก เช่น Apple, Intel, Tesla ต่างแสดงจุดยืนชัดเจนในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน โดยมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานต้องจัดทำรายงาน ESG อย่างสม่ำเสมอ เปิดเผยข้อมูล Scope 1–3 ของการปล่อยคาร์บอน และมีแผนการลดคาร์บอนระยะยาวที่สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ บางรายยังเชื่อมโยงการจัดซื้อเข้ากับดัชนีความยั่งยืน เช่น การให้คะแนน Supplier Sustainability Index ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโอกาสการได้รับคำสั่งซื้อ ผู้ผลิตที่ไม่มีนโยบาย ESG อาจถูกตัดสิทธิ์การเสนอราคาหรือถูกจัดอันดับต่ำในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างระดับสากล
- แรงกดดันจากนักลงทุน: นักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะกองทุนจากยุโรปและสหรัฐฯ เริ่มยกระดับการใช้ดัชนี ESG เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน โดยไม่เว้นแม้แต่บริษัทในสาย B2B หรือผู้ผลิตต้นน้ำ ผู้ประกอบการที่เปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างโปร่งใส และมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง มักได้รับความสนใจและคะแนนความเชื่อมั่นสูงกว่า ในขณะที่บริษัทที่เพิกเฉยต่อประเด็นนี้อาจเผชิญแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นให้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นถอนการลงทุน
- ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น – ภาวะพลังงานโลกที่ผันผวนและราคาพลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตโควิดและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้โรงงานผู้ผลิตเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายแห่งเริ่มลงทุนในโซลาร์เซลล์เพื่อลดค่าใช้จ่ายระยะยาว รวมถึงติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System) และระบบรีไซเคิลน้ำและของเสีย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงทรัพยากร นอกจากนี้ บางบริษัทเริ่มนำแนวคิด Circular Economy มาใช้กับพลังงาน เช่น การใช้ความร้อนทิ้งจากกระบวนการผลิตเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในระบบอุตสาหกรรม
การปล่อยคาร์บอนและของเสียในกระบวนการผลิต PCB/Chip
- กระบวนการผลิต PCB เช่น การกัดทองแดง (Etching), การชุบทองแดง (Electroplating), การล้างบอร์ด (Cleaning) และการเคลือบผิว (Surface Finishing) ล้วนเป็นกระบวนการที่ใช้น้ำและสารเคมีปริมาณมาก โดยเฉพาะสารกัดกร่อนและโลหะหนัก เช่น ทองแดง นิกเกิล และสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างสูง หากไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน น้ำทิ้งจากกระบวนการเหล่านี้สามารถปนเปื้อนแหล่งน้ำธรรมชาติ สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนโดยรอบได้อย่างรุนแรง นอกจากนี้ กระบวนการผลิตยังสร้างของเสียในรูปของตะกอนโลหะ (Sludge) ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
- การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในขั้นตอน Lithography (การพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์), Doping (การเติมสารเจือเพื่อควบคุมคุณสมบัติทางไฟฟ้า), และ Chemical Vapor Deposition (CVD – การเคลือบฟิล์มบางด้วยก๊าซ) ใช้พลังงานไฟฟ้าในระดับสูง รวมถึงก๊าซพิเศษ เช่น ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6), ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3), และเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ซึ่งล้วนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีค่าศักยภาพทำให้โลกร้อน (Global Warming Potential: GWP) สูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายพันเท่า และยังสลายตัวช้ามากในชั้นบรรยากาศ ทำให้การรั่วไหลแม้เพียงเล็กน้อยก็สร้างผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม
- บรรจุภัณฑ์และขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) เช่น แผงวงจรที่ไม่ได้มาตรฐาน เศษเวเฟอร์ ซองกันชื้น โฟมกันกระแทก ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง เป็นแหล่งของขยะอันตรายที่ต้องได้รับการจัดเก็บ คัดแยก และรีไซเคิลอย่างเหมาะสม หากไม่มีระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขยะเหล่านี้อาจกลายเป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อสุขภาพแรงงานในโรงงาน รวมถึงชุมชนโดยรอบ
แนวทางสู่ Sustainability ในโรงงาน PCB/Chip ไทย
- ระบบบำบัดน้ำเสียและรีไซเคิล – โรงงานชั้นนำเริ่มลงทุนในระบบ Zero Liquid Discharge (ZLD) และการรีไซเคิลทองแดงจากน้ำเสีย
- พลังงานสะอาด – การติดตั้ง Solar Rooftop, ใช้ Boiler พลังงานชีวมวล, และซื้อใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC)
- ระบบวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ – ใช้มาตรฐาน GHG Protocol หรือ ISO 14064 เพื่อคำนวณ Scope 1–3 พร้อมจัดทำรายงานประจำปี
- กระบวนการผลิตแบบ Eco-design – ใช้วัสดุเป็นมิตร เช่น Copper-free substrate, ลดจำนวนเลเยอร์ PCB โดยยังคงฟังก์ชันครบถ้วน และออกแบบให้ซ่อมง่าย
- การใช้ IoT และ Automation เพื่อลดของเสีย: ตรวจสอบกระบวนการแบบเรียลไทม์ เพื่อลด Defect และลดพลังงานสูญเปล่า
ตัวอย่างบริษัทที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ในไทย
- KCE Electronics – จัดทำรายงาน ESG เปิดเผยข้อมูลการปล่อยคาร์บอนและเป้าหมายลด GHG ภายในปี 2030
- Infineon Thailand – ลงทุนโรงงานใหม่ด้วยระบบรีไซเคิลน้ำ 95% และตั้งเป้าหมายใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2027
- Mektec (Nitto Group) – ใช้หลัก 3R และส่งเสริม Eco Manufacturing ในสายการผลิต PCB สำหรับชิ้นส่วนรถยนต์
ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่เป็นใบเบิกทางสู่ตลาดโลก
- ตอบโจทย์ลูกค้า B2B – คู่ค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะแบรนด์เทคโนโลยีระดับโลกที่มีนโยบายด้าน ESG ชัดเจน เริ่มเลือกเฉพาะซัพพลายเออร์ที่สามารถแสดงความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างเป็นระบบ โดยมีเกณฑ์วัด เช่น การจัดทำรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report), การเปิดเผยข้อมูล Scope 1, 2 และ 3, การมีนโยบาย Net Zero และแผนปฏิบัติการลดคาร์บอนที่ชัดเจน การตอบโจทย์ด้าน ESG กลายเป็นเงื่อนไขที่ส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการร่วมโครงการหรือได้สิทธิประมูลงานระยะยาว
- หลีกเลี่ยงภาษีสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (CBAM) – CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism คือกลไกภาษีที่สหภาพยุโรปนำมาใช้เพื่อปรับสมดุลราคาสินค้าระหว่างประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงกับสินค้าผลิตในประเทศที่ควบคุมการปล่อย GHG อย่างเข้มงวด ผู้ผลิตที่ส่งออกสินค้าไปยุโรป หากไม่สามารถแสดงข้อมูลการปล่อยคาร์บอนได้อย่างโปร่งใส จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมา ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนสูงเกินกว่าคู่แข่งที่อยู่ในประเทศที่มีการบริหาร ESG อย่างครบถ้วน การมีระบบจัดเก็บข้อมูลคาร์บอนจึงไม่เพียงแต่ช่วยในการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยลดภาระทางภาษีโดยตรงด้วย
- ดึงดูดนักลงทุนสายสีเขียว – และเพิ่มโอกาสได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Loan: นักลงทุนและสถาบันการเงินทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี Green Bond และ Green Loan เป็นเครื่องมือทางการเงินสำคัญที่สนับสนุนองค์กรที่มีโครงการลดการปล่อยคาร์บอน การใช้พลังงานสะอาด หรือการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน โรงงานที่มีระบบตรวจสอบ ESG อย่างโปร่งใสจะมีสิทธิ์เข้าถึงแหล่งทุนเหล่านี้ได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ บางสถาบันยังให้เงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษหรือข้อเสนอทางการเงินที่ดีกว่าแก่กิจการที่มีผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมดีเด่น
Sustainability คือดัชนีความพร้อมของผู้ผลิตในศตวรรษที่ 21 ผู้ผลิตในอุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ไทยที่มองไกลกว่าต้นทุนระยะสั้น และลงทุนในระบบจัดการสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้ จะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ทั้งในแง่การตอบโจทย์ตลาดโลก การรับมือกับกฎระเบียบใหม่ และการรักษาความน่าเชื่อถือในฐานะผู้ผลิตชั้นนำ
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Content Cluster หัวข้อ “ภาพรวมอุตสาหกรรม PCB และเซมิคอนดักเตอร์ไทย” โดยเชื่อมโยงถึงประเด็นความยั่งยืนที่กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญของภาคการผลิตในระดับสากล