San IE Tech
SIEMENS
Predictive Maintenance

Predictive Maintenance จำเป็นในการบำรุงรักษาเครื่องจักรยังไง

Date Post
22.04.2025
Post Views

ทำความรู้จัก Predictive Maintenance (PdM) การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์

Predictive Maintenance (PdM) หรือ การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ เป็นหนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอุตสาหกรรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคาดการณ์และระบุถึงสภาพของเครื่องจักรที่อาจจะเกิดการชำรุดหรือเสียหายก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จริง โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เพื่อตรวจจับสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงปัญหา เช่น ความสั่นสะเทือน, อุณหภูมิ, หรือการใช้พลังงานที่ไม่ปกติ การใช้วิธี Predictive Maintenance ไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุด แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยการลดการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิด ทำให้โรงงานหรือธุรกิจสามารถทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องเสียเวลาในการซ่อมแซมเครื่องจักร

ความแตกต่างระหว่างการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์กับ Preventive Maintenance

ก่อนที่จะพูดถึงความสำคัญของ Predictive Maintenance เรามาทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Predictive Maintenance และ Preventive Maintenance กันก่อน เพราะทั้งสองวิธีนี้มีเป้าหมายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในวิธีการและการนำไปใช้งานอย่างชัดเจน

  1. Predictive Maintenance (PdM)

Predictive Maintenance คือ การใช้ข้อมูลที่เก็บจากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในเครื่องจักรเพื่อคาดการณ์การชำรุดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยระบบจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บได้จากสัญญาณต่าง ๆ เช่น ความสั่นสะเทือน, อุณหภูมิ, ความดัน หรือการใช้พลังงาน เพื่อทำนายและแจ้งเตือนล่วงหน้าว่าเครื่องจักรอาจจะเกิดปัญหาหรือเสียหาย ซึ่งจะทำให้การบำรุงรักษามีความแม่นยำและไม่เสียเวลาในการทำบำรุงรักษาเมื่อเครื่องจักรยังใช้งานได้ดี

  1. Preventive Maintenance (PM)

Preventive Maintenance คือ การบำรุงรักษาเครื่องจักรตามตารางที่กำหนดไว้ โดยไม่สนใจสภาพหรือสัญญาณจากเครื่องจักร โดยทั่วไปแล้วการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะทำตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจักรทุก ๆ 3 เดือน หรือการตรวจสอบเครื่องจักรทุก ๆ 6 เดือน โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดปัญหาจึงจะทำการบำรุงรักษา

สามารถเทียบความแตกต่างแบบคร่าว ๆ ของวิธีการบำรุงรักษาทั้ง 2 แบบได้ ดังนี้

  • Predictive Maintenance ใช้ข้อมูลจริงจากเครื่องจักรเพื่อคาดการณ์การเสียหาย ซึ่งทำให้การบำรุงรักษามีความแม่นยำสูงกว่า
  • Preventive Maintenance จะทำการบำรุงรักษาตามตารางที่กำหนด แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณปัญหาจากเครื่องจักร

ประโยชน์ของ Predictive Maintenance

เพื่อการตัดสินใจเลือกใช้วิธีการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างเหมาะสม การทำ Predictive Maintenance มีประโยชน์และข้อดีหลายประการต่ออุตสาหกรรมและเครื่องจักร ดังนี้

  1. ลด Downtime ที่ไม่ได้วางแผน (Unplanned Downtime)

Predictive Maintenance ช่วยแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อมีความผิดปกติในเครื่องจักร เช่น การสั่นผิดปกติ อุณหภูมิสูงเกินค่ามาตรฐาน หรือความดันเปลี่ยนแปลงผิดปกติ ทำให้สามารถดำเนินการแก้ไขก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง ช่วยลดการหยุดชะงักของสายการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. ลดต้นทุนการซ่อมบำรุง

เมื่อสามารถคาดการณ์การเสียหายได้ล่วงหน้า ทีมงานสามารถเตรียมอะไหล่และวางแผนงานซ่อมได้อย่างมีระบบ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมฉุกเฉิน รวมถึงลดการเปลี่ยนอะไหล่โดยไม่จำเป็นที่มักเกิดในระบบ Preventive Maintenance ที่เปลี่ยนตามรอบเวลา

  1. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร

Predictive Maintenance จะทำให้การซ่อมบำรุงเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อจำเป็น ส่งผลให้ไม่ต้องรื้อหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนโดยไม่จำเป็น ซึ่งช่วยถนอมสภาพเครื่องจักรและยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ได้อย่างชัดเจน

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการวางแผน

องค์กรสามารถวางแผน maintenance เครื่องจักร ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทั้งในเรื่องของเวลา ช่างผู้รับผิดชอบ และทรัพยากรที่ต้องใช้ ช่วยให้การจัดสรรงานภายในโรงงานเป็นระบบมากขึ้น ลดปัญหาความวุ่นวายหรือการแทรกแซงการผลิตอย่างกะทันหัน

  1. ป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลาม

การที่สามารถตรวจจับอาการผิดปกติในระยะเริ่มต้น ทำให้สามารถเข้าไปจัดการได้ทันท่วงที ป้องกันไม่ให้เกิดการเสียหายแบบ “Domino Effect” เช่น แบริ่งชำรุดเล็กน้อยแต่ปล่อยไว้อาจทำให้เพลาหลักหรือมอเตอร์เสียหายทั้งชุด

  1. เพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน

เครื่องจักรที่ทำงานผิดปกติอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุในพื้นที่การผลิต การตรวจพบปัญหาล่วงหน้าช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อพนักงาน และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยมากขึ้น

  1. เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

เมื่อระบบผลิตสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ องค์กรสามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา ลดปัญหาการส่งล่าช้าและรักษาความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นจุดได้เปรียบทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม

  1. ขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล (Data-Driven Maintenance)

Predictive Maintenance สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ผ่านการรวบรวม วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลสภาพเครื่องจักรจริงมาใช้ในการตัดสินใจ แทนที่จะพึ่งพาแค่ประสบการณ์หรือการสังเกตแบบดั้งเดิม

ข้อจำกัดของ Predictive Maintenance

แม้ว่า Predictive Maintenance จะมีข้อดีในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโรงงานควรพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจนำระบบ PdM มาใช้

  1. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา

การติดตั้งระบบ Predictive Maintenance จำเป็นต้องใช้เซ็นเซอร์, ระบบคอมพิวเตอร์, และซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในขั้นตอนการติดตั้งและการบำรุงรักษาระบบในระยะยาว นอกจากนี้ การดูแลรักษาข้อมูลที่เก็บไว้จากเครื่องจักรยังต้องใช้ทรัพยากรในการจัดการและวิเคราะห์

  1. ความต้องการข้อมูลที่มีคุณภาพ

การทำงานของ PdM อาศัยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ซึ่งการเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญ หากข้อมูลมีข้อผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน อาจทำให้ระบบทำนายการบำรุงรักษาผิดพลาด หรือไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้

  1. การพึ่งพาเทคโนโลยี

การพึ่งพาเทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลทำให้ Predictive Maintenance จำเป็นต้องอาศัยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้งานและวิเคราะห์ข้อมูล หากไม่มีทีมงานที่มีทักษะในการจัดการและใช้งานระบบอย่างเหมาะสม อาจทำให้ระบบ PdM ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่

  1. ไม่ได้เหมาะสมกับทุกประเภทของเครื่องจักร

บางเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาจไม่สามารถติดตั้งเซ็นเซอร์หรือไม่เหมาะสมกับการทำ Predictive Maintenance เช่น เครื่องจักรที่มีการเคลื่อนที่ซับซ้อนหรือเครื่องจักรที่มีอายุการใช้งานสั้นมาก

การบำรุงรักษาทั้ง 2 แบบ เหมาะกับอุตสาหกรรมแบบใดมากที่สุด

การเลือกใช้ Predictive Maintenance หรือ Preventive Maintenance ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอุตสาหกรรม รวมถึงลักษณะการทำงานของเครื่องจักรในแต่ละประเภท

  1. Predictive Maintenance

Predictive Maintenance เหมาะกับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงและมีความซับซ้อน มาดูกับว่าการบำรุงรักษาแบบ Predictive Maintenance ตัวอย่างอุตสาหกรรมมีอะไรบ้าง 

  • อุตสาหกรรมยานยนต์: โรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต้องใช้เครื่องจักรที่มีความซับซ้อนสูงเพื่อประกอบชิ้นส่วนที่มีมาตรฐานเฉพาะ เช่น เครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบ เครื่องจักรที่ใช้ในการทดสอบคุณภาพ และเครื่องจักรที่ใช้ในการตรวจสอบชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำสูง เครื่องจักรเหล่านี้มีการทำงานที่ต่อเนื่องและเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งหากเครื่องจักรเกิดปัญหากะทันหัน จะส่งผลต่อการหยุดผลิตและเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม Predictive Maintenance จะช่วยให้โรงงานสามารถคาดการณ์ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ปัญหาของเครื่องจักรที่ประกอบชิ้นส่วน หรือการสึกหรอของเครื่องจักรที่ใช้ในการทดสอบคุณภาพ โดยไม่ต้องหยุดการผลิตทั้งหมด ทำให้สามารถดำเนินการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาก่อนที่จะเกิดความเสียหายใหญ่ได้
  • อุตสาหกรรมพลังงาน: ในอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น การผลิตไฟฟ้า โดยใช้เครื่องปั่นไฟหรือโรงไฟฟ้า การใช้ PdM สามารถช่วยคาดการณ์ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องปั่นไฟ, เครื่องอัดอากาศ หรืออุปกรณ์สำคัญอื่น ๆ เช่น เครื่องยนต์, ปั๊ม หรือระบบส่งพลังงานที่ต้องการความเสถียรสูง การคาดการณ์การชำรุดในระบบ Predictive Maintenance ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถลดระยะเวลาในการหยุดซ่อมบำรุงที่ไม่ได้วางแผน และลดการเกิดปัญหาที่อาจนำไปสู่การหยุดการผลิตไฟฟ้าอย่างไม่คาดคิด
  • อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร: PdM เหมาะสำหรับการใช้งานใน อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร ที่ต้องใช้เครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง เช่น เครื่องจักร CNC (Computer Numerical Control), เครื่องจักรที่ใช้ในการตัด, เจียระไน หรือเครื่องจักรที่ต้องมีการควบคุมอย่างละเอียดในกระบวนการผลิต 
  1. Preventive Maintenance

Preventive Maintenance เหมาะกับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรที่ไม่ซับซ้อนหรือมีระยะเวลาในการทำงานที่สั้น เช่น

  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีการผลิตที่รวดเร็วและต้องการการผลิตต่อเนื่อง เครื่องจักรในสายการผลิตมักจะมีอายุการใช้งานสั้นและต้องมีการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง เช่น เครื่องบด เครื่องบรรจุ หรือเครื่องจักรในกระบวนการเตรียมอาหาร การใช้ Preventive Maintenance จะช่วยให้การบำรุงรักษาเครื่องจักรสามารถดำเนินการได้ตามตารางที่กำหนด เช่น การเปลี่ยนอะไหล่หรือการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการผลิต แต่ไม่ต้องการการคาดการณ์ล่วงหน้ามากเกินไป
  • อุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป: ใน อุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป เช่น โรงงานที่ผลิตสินค้าที่มีความต้องการสูง เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตอาจจะไม่ซับซ้อนและสามารถคาดการณ์การชำรุดได้ตามระยะเวลาที่กำหนด การใช้ Preventive Maintenance ในกรณีนี้ช่วยให้สามารถบำรุงรักษาเครื่องจักรตามช่วงเวลาที่กำหนด เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจักร การตรวจสอบระบบไฮดรอลิก หรือการตรวจสอบระบบไฟฟ้า ทำให้การผลิตสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและไม่มีความเสี่ยงจากการหยุดชะงักโดยไม่คาดคิด

สรุป

Predictive Maintenance (PdM) เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานหรือธุรกิจ โดยช่วยลดต้นทุนในการซ่อมแซมและการหยุดทำงานที่ไม่คาดคิด อย่างไรก็ตาม การใช้งาน PdM ก็ต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีและการฝึกอบรมที่เหมาะสม รวมถึงการเก็บข้อมูลจากเครื่องจักรและการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างแม่นยำ สำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของโรงงาน ควรพิจารณาถึงลักษณะของเครื่องจักรและความสามารถในการจัดการข้อมูลและการบำรุงรักษาของระบบ PdM เพื่อให้การลงทุนในเทคโนโลยีนี้คุ้มค่าที่สุด หากเครื่องจักรมีมูลค่าสูงและมีความซับซ้อน Predictive Maintenance จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการผลิตและยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรได้มากขึ้น

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
Thai Murata