iscar
semiconductor heart of technology

เซมิคอนดักเตอร์หัวใจของเทคโนโลยีสู่อนาคตของมนุษยชาติ

Date Post
24.01.2025
Post Views

“เมื่อเทคโนโลยีคือทุกสิ่ง เซมิคอนดักเตอร์ก็เหมือนหัวใจที่ทุกจังหวะการเต้นของชิป คือ ก้าวต่อไปของมนุษยชาติ”

เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ตั้งแต่สมาร์ทโฟนที่เราใช้งานทุกวัน รถยนต์ไฟฟ้าที่ลดการปล่อยมลพิษ ไปจนถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาโลกอย่างก้าวกระโดด ความสำคัญของเซมิคอนดักเตอร์ไม่ได้จำกัดเพียงในแวดวงวิศวกรรมหรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจและกำหนดอนาคตของโลก บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวของเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งแต่พื้นฐาน คุณสมบัติ กระบวนการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน และบทบาทสำคัญในประเทศไทย ตลอดจนคำถามที่ชวนให้เราคิดถึงทิศทางของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต

เซมิคอนดักเตอร์คืออะไร?

ความหมายและคุณสมบัติ

เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) คือ วัสดุที่มีคุณสมบัติอยู่กึ่งกลางระหว่างตัวนำไฟฟ้า (เช่น ทองแดง) และฉนวนไฟฟ้า (เช่น ยาง) กล่าวคือ มีความสามารถในการนำไฟฟ้าแต่ไม่มากนัก และเมื่อต้องการก็สามารถปรับเปลี่ยนสภาพให้เป็นตัวนำที่ดีขึ้นหรือแย่ลงได้ตามกระบวนการที่เรียกว่า “โดปปิ้ง” (Doping) หรือการเติมสารเจือปน สิ่งนี้เองเปิดโอกาสให้มนุษย์สร้างวงจรที่สามารถควบคุมกระแสไฟฟ้าได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งเป็นหัวใจของการประมวลผลข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย

ความสำคัญในโลกดิจิทัล

  • สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ – ชิปประมวลผล (CPU) และชิปกราฟิก (GPU) ต่างก็สร้างขึ้นจากเซมิคอนดักเตอร์
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV) – ระบบควบคุมมอเตอร์และแบตเตอรี่ใช้ชิปในการจัดการพลังงานและสื่อสารกับส่วนต่าง ๆ ของรถ
  • AI, หุ่นยนต์, IoT – อุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความสามารถในการประมวลผลได้รวดเร็วและประหยัดพลังงาน

หากเซมิคอนดักเตอร์หายไป เทคโนโลยีสมัยใหม่คงไม่ได้ก้าวไกลเท่าทุกวันนี้ และโลกของเราอาจอยู่ในยุคอนาล็อกที่การติดต่อสื่อสารและการประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างล่าช้า

ซิลิกอนเบื้องหลังของความก้าวหน้า

ซิลิกอน (Silicon) 

  • ซิลิกอน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบมากในทรายและหินควอตซ์ ได้รับการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ผ่านกระบวนการหลอมและทำให้บริสุทธิ์จนได้วัสดุที่เรียกว่า “ซิลิกอนเกรดอิเล็กทรอนิกส์” (Electronic-grade Silicon) ที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.9999% ด้วยความบริสุทธิ์ระดับนี้ ซิลิกอนจึงเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ซิลิกอนยังมีจุดเด่นที่หาได้ง่ายในธรรมชาติ ราคาถูก และมีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ใช้กระแสไฟฟ้าระดับสูง อีกทั้งยังสามารถสร้างเป็นเวเฟอร์ (Wafer) ซึ่งเป็นแผ่นบาง ๆ สำหรับรองรับวงจรที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แร่ธาตุอื่น ๆ

  • เจอร์เมเนียม (Germanium) – เป็นวัสดุที่ใช้ในยุคแรกของเซมิคอนดักเตอร์ แต่ปัจจุบันนิยมน้อยลงเพราะราคาสูง และซิลิกอนมีคุณสมบัติที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
  • แกลเลียม อาร์เซไนด์ (GaAs) – ใช้สำหรับชิปที่ต้องการความเร็วสูงมาก เช่น ระบบสื่อสารดาวเทียมและเรดาร์
  • แร่หายาก (Rare Earth) – ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภทเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet) และเซ็นเซอร์พิเศษ

ห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์ (Supply Chain)

อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากมีหลายขั้นตอนและกระจายตัวในหลายประเทศ

ขั้นตอนหลักใน Supply Chain

  1. การสกัดแร่ (Raw Material Extraction)
    • ประเทศผู้ผลิตซิลิกอนดิบรายใหญ่ ได้แก่ จีน รัสเซีย นอร์เวย์ ซึ่งมีแหล่งทรัพยากรและเทคโนโลยีในการหลอมและสกัด
  2. การผลิตเวเฟอร์ (Wafer Fabrication)
    • ไต้หวัน (TSMC), เกาหลีใต้ (Samsung), และสหรัฐฯ (Intel) เป็นผู้นำในเทคโนโลยีการผลิตเวเฟอร์ที่ต้องการความแม่นยำสูงมาก
  3. การออกแบบชิป (Chip Design)
    • บริษัทระดับโลก เช่น NVIDIA (สหรัฐฯ) และ ARM (อังกฤษ) มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบสถาปัตยกรรมชิปสำหรับงานเฉพาะด้าน
  4. การประกอบและทดสอบ (Assembly & Testing)
    • กระบวนการที่ต้องการแรงงานจำนวนมากและต้นทุนต่ำ จึงนิยมไปตั้งโรงงานในจีน มาเลเซีย เวียดนาม และบางส่วนในประเทศไทย

ความท้าทายของ Supply Chain

ความท้าทายของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบันมีหลายประเด็นที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือการพึ่งพาไต้หวันสูง เนื่องจาก TSMC ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตชิปของโลกสามารถผลิตชิปได้มากกว่า 50% ของตลาดโลก ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเสี่ยงต่อปัจจัยทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของการผลิต อีกประเด็นสำคัญ คือ ปัญหาการขาดแคลนชิปในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันต่อความต้องการ เนื่องจากโรงงานต้องปิดทำการหรือชะลอการผลิต สุดท้ายคือสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่นำไปสู่การคว่ำบาตรและมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาชิปของตนเองและส่งผลให้โครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานโลกต้องปรับตัวครั้งใหญ่

สถานการณ์การเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของโลกและประเทศไทย

สถานการณ์โลก

สถานการณ์ของตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกในช่วงปี 2020-2022 เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแส Work from Home การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกแตะระดับ 570,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 เป็นต้นมา อัตราการเติบโตเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อย (ประมาณ 3-5%) สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มถดถอย แต่ยังคงมีปัจจัยหนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้าน AI และ Big Data รวมถึงความต้องการในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจโลก

สถานการณ์ในประเทศไทย

ประเทศไทยมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำ และชิปที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพต่อการพัฒนา ทักษะแรงงานของไทยในด้านนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ทำให้สามารถรองรับการต่อยอดการผลิตในอนาคตได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังเผชิญอุปสรรคในเรื่องการขาดการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง (Advanced Nodes) รวมถึงขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศยังคงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด ส่งผลให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังล้าหลังเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านแนวโน้ม รัฐบาลได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ผ่านโครงการ EEC (Eastern Economic Corridor) โดยมีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งมีนโยบายที่เน้นส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างจริงจัง

อนาคตของเซมิคอนดักเตอร์ 

ในเมื่อเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจของโลกดิจิทัล คำถามสำคัญที่ต้องตอบ คือ อนาคตของเทคโนโลยีนี้จะพัฒนาไปในทิศทางไหน เทคโนโลยีใหม่อย่างชิปขนาด 1 นาโนเมตรหรือเล็กกว่านั้น อาจเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ไปอย่างมหาศาล ด้วยขนาดที่เล็กลงและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น การประมวลผลข้อมูลและการใช้พลังงานอาจพัฒนาไปไกลกว่าที่เราคาดคิด

นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์ ความตึงเครียดด้านการค้าและเทคโนโลยีอาจทำให้ซัพพลายเชนแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งที่แยกจากกันอย่างถาวร ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

สำหรับประเทศไทย คำถามที่ท้าทาย คือ เราควรเลือกลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงเพื่อเข้าสู่การแข่งขันระดับโลก หรือควรมุ่งเน้นพัฒนาบทบาทในด้านการประกอบและทดสอบ (Assembly & Testing) ที่เรามีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว? การตัดสินใจในเรื่องนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทยและบทบาทของเราในตลาดโลก

ผู้อ่านทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอีก 10 ปีข้างหน้าครับ?

จากจุดเริ่มต้นของซิลิกอนขนาดเท่าทรายเม็ดเล็ก ๆ กลายมาเป็นชิปอัจฉริยะที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับพันล้านตัว วงจรไฟฟ้าในขนาดนาโนมีบทบาทกำหนดมาตรฐานชีวิตผู้คน การศึกษาโลกของเซมิคอนดักเตอร์จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะทางของวิศวกรหรือบริษัทเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนในสังคมยุคใหม่

ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ การสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ หรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับชิปเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “เซมิคอนดักเตอร์” และในเมื่อโลกกำลังก้าวหน้าไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง คำถามที่ทุกคนควรถามตัวเองก็คือ “เราจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้อย่างไร โดยใช้ประโยชน์จากเซมิคอนดักเตอร์ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด?”

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Automation Expo