ความคุ้มค่าของการใช้งานคลังสินค้านั้นอยู่ที่ความสามารถในการจัดเก็บสินค้าที่ต้องผสานรวมกับความสามารถในการนำเข้าและนำสินค้าออกไป แต่ด้วยเงื่อนไขปัจจัยที่หลากหลายทำให้ธุรกิจคลังสินค้าจำเป็นต้องหาจุดตรงกลางระหว่างปริมาณการจัดเก็บสินค้ากับความสามารถในการใช้งานต่าง ๆ โดยการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะเป็นการแก้ปัญหาที่สามารถสร้างความคุ้มค่าได้มากที่สุด
ปัจจุบันความต้องการใช้งานคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลหลังจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ตลอดจนปัญหาด้านซัพพลายเชนทั่วโลก การสต็อกสินค้าในการใช้งานวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ในระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาความไม่แน่นอนจึงขยายตัวขึ้นอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ราคาที่ดิน ความสามารถในการจัดหาที่ดินเพิ่มเติม ไปจนถึงความหนาแน่นของผู้ปฏิบัติงานที่ต้องสอดคล้องกับนโยบายป้องกันโรค การบริหารจัดการภายใต้ปัจจัยเงื่อนไขที่มีจึงกลายเป็นความสำคัญลำดับต้น ๆ ในการทำงาน
ลงทุน ‘เทคโนโลยี’ คำตอบของความสมดุลภายใต้เงื่อนไขคลังสินค้ายุคปัจจุบัน
ภายใต้เงื่อนไขของพื้นที่เดิมจากการที่หาซื้อที่ดินเพิ่มได้ยาก ทำเลไม่ดีหรือมีราคาที่แพง ผู้ประกอบการจำนวนมากตั้งใจเพิ่มประสิทธิภาพของคลังสินค้าเดิมด้วยการบริหารจัดการแปลนตำแหน่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในคลังสินค้าเสียใหม่
การวางแปลนในคลังสินค้าสำหรับชิ้นส่วนขนาดเล็กอาจจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าคลังสินค้าที่มีชิ้นส่วนขนาดใหญ่หรือใช้พาเลทในการจัดเก็บ เนื่องจากคลังสินค้าที่มีชิ้นส่วนขนาดใหญ่จำเป็นต้องเว้นพื้นที่ไว้ให้กับการใช้งานอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อย่างเช่น ฟอร์คลิฟท์ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลง Flow หรือแปลนพื้นที่จึงไม่อาจสร้างความแตกต่างได้มากมายนัก ทั้งจากปัญหาเครื่องไม้เครื่องมือและความปลอดภัยในการใช้งานพื้นที่
เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บสินค้าและความสามารถในพื้นที่ภายใต้เงื่อนไขที่เกิดขึ้น การลงทุนเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการใช้งานคลังสินค้าจึงเป็นทางออกสำหรับความท้าทายที่กำลังเผชิญหน้า ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีสำหรับสนับสนุนการทำงานของคลังสินค้ามีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสำหรับงานคลังสินค้าที่ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการทำงาน ระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ การเปลี่ยนคลังสินค้าดั้งเดิมให้เป็น Flexible Warehouse ไปจนถึงการทำให้เป็นคลังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บในพื้นที่เดิมให้มากขึ้นโดยไม่ได้ลดความสามารถในการเข้าถึงสินค้าในคลัง
หากการลงทุนคลังสินค้าอัตโนมัติดูเหมือนสิ่งที่ไกลตัวและมีราคาที่เข้าถึงยาก การออกแบบให้คลังสินค้ามีความยืดหยุ่น สามารถทำงานได้ในระบบกึ่งอัตโนมัติก็สามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บและยังคงรักษาประสิทธิภาพในการทำงานไว้ได้อีกด้วยเช่นกัน โดยเทคโนโลยีที่มีความน่าสนใจสำหรับงานคลังสินค้ายุคปัจจุบัน คือ Shuttle Racking System ที่สามารถเพิ่มปริมาณการจัดเก็บได้สูงสุดถึง 90% นั่นเอง
Shuttle Racking System โซลูชันการจัดเก็บสำหรับคลังสินค้าสุดคุ้มค่า
ความต้องการใช้งานพื้นที่คลังสินค้าในการจัดเก็บแบบเต็ม 100% นั้นเรียกได้ว่าเป็นอุดมคติของธุรกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากความจำเป็นในการใช้พื้นที่บางส่วนเพื่อทำการนำสินค้าเข้า-ออก ซึ่งไม่นับรวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อสภาพแวดล้อมของคลังสินค้าอีกด้วย
โซลูชัน Shuttle Racking System นั้นเป็นโซลูชันที่ทำให้สามารถใช้พื้นที่จัดเก็บสินค้าได้มากถึง 90% ของพื้นที่ เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับความต้องการในอุดมคติก็ไม่ผิดเพี้ยนนัก นอกจากจะเพิ่มพื้นที่จัดเก็บแล้วการทำงานยังเป็นระบบระเบียบและมีความปลอดภัยของพื้นที่เพิ่มขึ้นไปพร้อมกัน
การทำงานของ Shuttle Racking Systems นั้นเป็นการใช้หุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายพาเลทที่ติดตั้งอยู่บนรางในระบบ Rack เพื่อลำเลียงสินค้าทั้งเข้าและออก การควบคุมและการโหลดสินค้าเกิดขึ้นที่ปลาย Rack ด้วยชุดรีโมทควบคุมที่อยู่ทั้งสองด้าน ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการจัดเก็บได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บในแบบ First In First Out (FIFO) หรือ Last In First Out (LIFO)
เมื่อพาเลทสินค้าอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดแล้ว หุ่นยนต์จะทำการยกสินค้าเคลื่อนไปตามรางเพื่อทำการจัดเก็บ ดังนั้นในกระบวนการโหลดสินค้าเข้า Rack หรือการจัดเก็บจะเป็นการทำงานของระบบอัตโนมัติทั้งหมด แรงงานจึงมีหน้าที่เพียงนำสินค้าไปไว้ยังตำแหน่งที่กำหนดเท่านั้น ทำให้แรงงานทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความเหนื่อยล้าและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ในขั้นตอนการจัดเก็บสินค้า รวมถึงความแออัด (Traffic) ในคลังสินค้าที่ลดลงด้วยเช่นกัน
Shuttle Racking System จะลดการใช้พื้นที่ว่างสำหรับการโหลดสินค้าเข้าไปยัง Rack ซึ่งในการจัดเก็บแบบเดิมจะต้องมีการเว้นระยะสำหรับการโหลดสินค้าด้วยรถฟอร์คลิฟท์ ทำให้การออกแบบต้องคำนึงถึงมุมมองและทัศนวิสัยในการทำงานของแรงงานเพื่อความปลอดภัยด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากในคลังสินค้าทั่วไปมีการใช้งาน Rack 15 แถว ต้องเว้นพื้นที่ในการเข้าถึงสินค้า หากเปลี่ยนมาใช้งาน Shuttle Racking System อาจเพิ่มจำนวน Rack ในการจัดเก็บสินค้าได้มากถึง 30 Rack
การใช้งาน Shuttle Racking System จึงช่วยประหยัดทั้งเวลา ต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย เปลี่ยนพื้นที่การจัดเก็บสินค้าเดิมให้มีความหนาแน่นสูง เพิ่มความคุ้มค่าให้กับธุรกิจภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด สามารถใช้งานได้ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิ และรองรับโหลดได้หลากหลายรูปแบบ
การออกแบบ Shuttle Racking System นั้นสิ่งสำคัญอยู่ที่ความเชี่ยวชาญในงานคลังสินค้าผสานรวมกับความเชี่ยวชาญในด้านระบบอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดประสบการณ์การใช้งานที่มีประสิทธิภาพ LPI Rack Range ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านงานคลังสินค้าที่มีประสบการณ์กว่า 50 ปี นับเป็นผู้ให้บริการที่น่าจับตามองที่สุดในตลาด
LPI Rack Range นั้นไม่เพียงแต่มีประสบการณ์อันช่ำชองอย่างยาวนาน แต่ยังมีโรงงานเป็นของตัวเอง ทำให้สามารถออกแบบและผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นได้ในเงื่อนไขที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านราคาที่มาพร้อมกับคุณภาพ ตอบสนองต่อความต้องการที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการชั้นนำต่างมอบความไว้วางใจในการคิด วางแผน ออกแบบ ผลิต และติดตั้งโซลูชันคลังสินค้ามากมาย ทั้งคลังสินค้าแบบดั้งเดิม คลังสินค้าแบบกึ่งอัตโนมัติ และคลังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโซลูชันเพื่อยกระดับคลังสินค้า ไม่ว่าจะเป็นคลังสินค้าใหม่หรือต้องการปรับปรุงคลังสินค้าเดิม ไปจนถึงการขยายคลังสินค้า LPI Rack Range พร้อมให้บริการทุกความต้องการด้วยความเชี่ยวชาญและโซลูชันที่ผู้ประกอบการชั้นนำต่างไว้วางใจ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ตามที่อยู่ดังนี้
ช่องทางติดต่อสอบถาม:
LPI Rack Range
เบอร์โทรศัพท์: 02-003-1899 (Office), 081-840-2769 (คุณพีระพงษ์)
E-mail: [email protected]
Website: www.lpi.co.th
Line OA: @lpigroup
Social Channel:https://www.facebook.com/lpigroupth