Intelligent Asia Thailand 2025
เทรนด์คลังสินค้าอัจฉริยะ 2025 ผ่านมุมมองของ Store Master

อัปเดตเทรนด์คลังสินค้าอัจฉริยะ AS/RS ปี 2025 กับ Store Master

Date Post
24.12.2024
Post Views

คลังสินค้านั้นเป็นส่วนของธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคดิจิทัลที่การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย และการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมไทยที่กำลังออกเดินทางสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูงก็ต้องการคลังสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายใหม่นี้เช่นกัน MM Thailand จึงได้ชวน Store Master ผู้เชี่ยวชาญด้านคลังสินค้าอัจฉริยะมาฉายภาพของแนวโน้มความท้าทายและเทคโนโลยีสำหรับคลังสินค้าในปี 2025 ส่งท้ายปีเก่าเป็นของขวัญให้กับผู้อ่านกันครับ

Key
Takeaways
  • E-Commerce ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของธุรกิจคลังสินค้า
  • เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรด้านพื้นที่และแรงงาน เทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นในปี 2025
  • ASRS ยุคใหม่จะถูกมองเป็นโซลูชันแบบองค์รวมมากกว่าการใช้งานเทคโนโลยีแบบเดี่ยว
  • การลงทุนเทคโนโลยีโดยมากจะเน้นไปที่การ Optimize โครงสร้างเดิมมากกว่าการขยายพื้นที่ซึ่งมีต้นทุนที่สูงมาก
  • ASRS ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถลดความผิดพลาดในกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมาก

ด้วยความต้องการในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับความท้าทายในการปฏิบัติงานด้านคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น คลังสินค้าอัจฉริยะยุคใหม่จึงประกอบไปด้วย หุ่นยนต์, IoT, AI และ Data Analytics เพื่อยกระดับการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง การติดตามข้อมูลที่เกิดขึ้นได้แบบ Real-Time ทำให้เกิดการบริหารจัดการซัพพลายเชนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการในสถานการณ์ที่เกิดการขาดแคลนแรงงานและทักษะแรงงานดังเช่นในปัจจุบัน

จากข้อมูลของ SNS Insider มีการประเมินมูลค่าของตลาด Smart Warehousing ไว้ว่ามีมูลค่า 22,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 และคาดว่าจะมีมูลค่าการเติบโตอยู่ที่ 75,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2032 อัตราการเติบโตทบต้นต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 14.3% ในช่วงปี 2023 – 2032 ซึ่งไม่ว่าตลาดใดก็ตาม E-Commerce จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันในการเติบโตของปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงอย่างเข้มข้น

โดยการเติบโตของตลาด Smart Warehouse สูงที่สุดเกิดขึ้นที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพราะมีการประยุกต์ใช้ IoT, AI และหุ่นยนต์มากขึ้นในประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่น นอกจาก E-Commerce แล้ว ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังได้รับผลกระทบจากการตื่นตัวในภาคการผลิตของภูมิภาคที่มีการย้ายฐานการลงทุนเกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจคลังสินค้านั้นเติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน

หากพิจารณาลึกลงไปในเทคโนโลยีอย่าง ASRS ข้อมูลของ Straits Research บ่งชี้ว่าในปี 2024 นี้จะมีมูลค่าอยู่ที่ 11,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะขึ้นไปอยู่ที่ 11,980 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 คาดการณ์ว่าในปี 2033 จะมีมูลค่า 19,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยอัตราการเติบโตทบต้นต่อปีที่ 7.41% ระหว่างปี 2025 – 2033 โดยระบบ ASRS ไม่ว่าจะเป็นแบบ Shuttle (แนวตั้ง), Horizontal (แนวนอน) หรือ Carousel (แบบใช้หุ่นยนต์) จะได้รับความนิยมมากขึ้น เป็นผลจาก E-Commerce และการจัดส่งสินค้าแบบ Omnichannel เพื่อให้กระจายสินค้าได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งหัวใจหลักของการใช้งาน ASRS นั้นจะอยู่ที่การใช้งานพื้นที่ได้คุ้มค่า และเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่ง

ภายหลังการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส 2019 ธุรกิจคลังสินค้าได้เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น และเมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาเดินหน้าอีกครั้งธุรกิจคลังสินค้าเองก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่แตกต่างออกไปจากธุรกิจอื่นด้วยแรงส่งมหาศาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

ในปี 2025 นี้ ความคล่องตัวของซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นจะเป็นประเด็นสำคัญในการรับมือกับดีมานด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วรุนแรงตามปัจจัยภายนอกอันหลากหลาย ไม่ว่าจะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า เทรนด์ของความยั่งยืน ไปจนถึงความต้องการในการลดต้นทุนของธุรกิจเอง ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องใช้งานเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มการมองเห็นในซัพพลายเชน ทำให้เกิดการบริหารจัดการคลังสินค้าได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งยังต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของดีมานด์และซัพพลายที่ผันผวนรวดเร็วได้อีก ส่งผลให้เทคโนโลยีการคาดการณ์ การวิเคราะห์ และการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสามารถตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ได้ดี กลายเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้

การมี Fulfillment หลายช่องทางจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น เพราะธุรกิจที่จะต้องรับมือกับคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มและช่องทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มซื้อของออนไลน์ การซื้อขายผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือการซื้อขายหน้าร้าน การที่มีคงคลังที่สามารถตอบสนองความยืดหยุ่น และทำงานร่วมกันระหว่างแต่ละระบบในการจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างราบรื่นเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ภาพของการใช้เทคโนโลยีสำหรับคลังสินค้ายุคใหม่หรือ Smart Warehouse นั้นจำเป็นต้องมองไปถึงการต่อยอดและผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ ทำให้การแข่งขันในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงนี้เรื่องของ Ecosystem สำหรับธุรกิจคลังสินค้ากลายเป็นปัจจัยที่ต้องมองให้เห็นภาพรวมที่เกิดขึ้นมากกว่าการใช้เทคโนโลยีแบบ Stand Alone เทคโนโลยีอย่าง ASRS ที่ถือว่าเป็นแกนกลางของคลังสินค้ายุคใหม่จึงถูกประกอบร่างขึ้นมาร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ โดยเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทกับงานคลังสินค้าปี 2025 มีดังนี้

การมาถึงของ AI สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะการผลิต การบริหารจัดการ การตลาด หรืองานคลังสินค้า

  • การคาดการณ์ดีมานด์ล่วงหน้า: ด้วยการใช้ข้อมูลประวัติการขาย แนวโน้มที่เกิดขึ้นในแต่ละฤดูกาล และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของตลาด AI จะช่วยให้คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น 
  • การเติมสินค้าและการตอบสนองต่อคำสั่งอัตโนมัติ: ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะสามารถติดตามข้อมูลปริมาณสินค้าคงคลังได้แบบ Real-Time และสร้างคำสั่งซื้อสินค้าอัตโนมัติเมื่อสินค้าเหลือน้อย ทำให้ลดความผิดพลาดของแรงงานและมั่นใจได้ว่าปริมาณของสินค้าคงคลังจะมีเพียงพอโดยไม่ต้องมีแรงงานมาเกี่ยวข้อง
  • ยกระดับศักยภาพซัพพลายเชน: การใช้ AI ติดตามข้อมูลจะทำให้เกิดการทำงานเชิงรุกของคลังสินค้าเพื่อลดความล่าช้าและรักษาไว้ซึ่งความสามารถในการบริการที่ประทับใจ ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการถูกก่อกวนด้วยปัจจัยต่าง ๆ ผ่านการใช้ข้อมูลที่แม่นยำ
  • เพิ่ม Workflow ได้เต็มศักยภาพ: ด้วยการวิเคราะห์กิจกรรมของคลังสินค้า AI จะระบุ Workflow ที่ไร้ประสิทธิภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายของง่าย ๆ ไปจนถึงการบรรจุสินค้าในบรรจุภัณฑ์ ทำให้คลังสินค้าสามารถปรับกระบวนการทำงานตามดีมานด์ และลดต้นทุนการดำเนินการทั้งยังเพิ่มผลิตภาพได้ในเวลาเดียวกัน
  • ขยายความเป็นไปได้ใหม่ของหุ่นยนต์อัจฉริยะ: การใช้งาน AI กับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมหรือ Cobot ทำให้หุ่นยนต์เหล่านี้มีความยืดหยุ่นในการทำงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาพแวดล้อมของคลังสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย และมีภาระหน้าที่ต้องทำงานหลากหลาย

หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอย่าง ASRS กลายเป็นส่วนสำคัญในการจัดการงานคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ASRS สามารถใช้งานร่วมกับ AMMR (Autonomous Mobile Manipulation Robot) หรือบางค่ายเรียกว่า MoMas (Mobile Manipulators) ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นและความแม่นยำในงานคลังได้อย่างแตกต่างและชัดเจน

  • ลดปัญหาความผิดพลาดแรงงาน: การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ ไม่ว่า ASRS หรือหุ่นยนต์จะช่วยลดปัญหาการทำงานที่ผิดพลาดในกระบวนการต่าง ๆ ของงานคลังสินค้าได้
  • แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน: การขาดแคลนแรงงานในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะเข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้น การใช้ระบบอัตโนมัติที่เชื่อถือได้จะสร้างเสถียรภาพให้กับธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ: ระบบอัตโนมัติเหล่านี้สามารถติดตามข้อมูลเพื่อทำการประเมินและปรับปรุงการทำงานได้แบบ Real-Time ประสิทธิภาพและผลิตภาพการทำงานของคลังสินค้าจึงสามารถตอบสนองต่อดีมานด์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดี
  • ทำให้เกิดการใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด: ต้นทุนที่มีราคาสูงที่สุดสำหรับงานคลัง คือ พื้นที่ การใช้งาน ASRS และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งยังลดการใช้พื้นที่โหลดสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บในแนวตั้ง
  • Robotics as a Service (RaaS): การบริการ RaaS จะเกิดขึ้นในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ลดกำแพงการเข้าถึงการใช้งานหุ่นยนต์ในงานคลังสินค้า ครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์ การติดตามข้อมูล การซ่อมบำรุงต่าง ๆ ทำให้สามารถคาดการณ์ต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น
  • AMR และ Cobot หัวใจของความยืดหยุ่นงานคลังยุคใหม่: AMR และ Cobot ต่างเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย และสามารถประยุกต์ปรับแต่งการใช้งานได้อย่างหลากหลาย เรียกว่าเพิ่มทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพของแรงงานเดิมที่มีอยู่ได้ในเวลาเดียวกัน
  • หุ่นยนต์ Cube Storage: หุ่นยนต์รูปแบบลูกบาศก์ที่เพิ่ม Throughput ของงานคลังสินค้าได้ง่าย เหมาะกับงาน E-Commerce เพราะมีความหนาแน่นในการจัดเก็บสูง ตอบสนองต่องาน Fulfillment ได้ดี

การแข่งขันของคลังสินค้าในปี 2025 นั้นเรื่องของข้อมูลจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นพื้นฐานของการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมด ดังนั้น การใช้งาน ASRS หรือหุ่นยนต์ต่าง ๆ ในงานคลังสินค้าจะต้องสามารถแสดงข้อมูลได้แบบ Real-Time เพื่อให้ควบคุมต้นทุนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที การใช้งาน IoT และแพลตฟอร์มอัจฉริยะในการรวบรวมและบริหารข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่นี้

  • Real-Time Tracking: การบริหารจัดการคลังสินค้ายุคใหม่ นอกจากจะต้องตอบสนองต่อการทำงานภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ความสามารถนำเสนอข้อมูลสำหรับผู้ใช้งานหรือลูกค้าในการติดตามสถานะสินค้ากลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ E-Commerce เฟื่องฟู
  • การเฝ้าระวังสถานะสินค้า: สินค้าหรือชิ้นส่วนบางประเภทต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่น แก้วที่เสียหายง่าย หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องควบคุมความชื้น การมีเซ็นเซอร์หรือ IoT จะช่วยลดความเสียหายจากการจัดเก็บด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ที่เหมาะสมได้
  • Digital Twins พื้นที่ Sandbox ในการปรับปรุงประสิทธิภาพ: Digital Twins นั้นเป็นเหมือนกระจกสะท้อนกิจกรรมคลังสินค้าที่เกิดขึ้นจริงแบบ Real-Time ทำให้สามารถทดลองปรับการทำงานต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพได้ก่อนที่จะนำมาปรับใช้จริง ทั้งยังสามารถต่อยอดใช้งาน AI เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและปรับกลยุทธ์ในการรับมือสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
  • ระบบเครือข่าย 5G เพื่อการทำงานไร้รอยต่อ: เมื่อการทำงานในคลังสินค้าเต็มไปด้วย IoT และหุ่นยนต์เคลื่อนที่ การใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายอย่าง 5G ที่มีความเสถียรสูงและมีคลื่นสัญญาณให้เลือกใช้จำนวนมากจะทำให้การเชื่อมต่อข้อมูล และการทำงานของเทคโนโลยีที่ต้องสอดประสานกันเกิดขึ้นได้เป็นอย่างปลอดภัย ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดใช้งานกับ Autonomous Logistics Fleet หรือการขนส่งสินค้าอัตโนมัติในอนาคตได้อีกด้วย
  • Smart Cloud Platform ตัวเร่งความเร็ว DX และการลดต้นทุน: การใช้งาน Cloud ยุคใหม่จะช่วยลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรต่าง ๆ ด้าน IT ที่ใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้าเกิดความรวดเร็วในการทำงาน ทั้งยังทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสูงไปพร้อม ๆ กับการมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยคอยกำกับดูแลจากผู้ให้บริการอีกด้วย

ภายใต้ความท้าทายที่เข้มข้นยิ่งขึ้นของการทำธุรกิจและการใช้งานคลังสินค้าปี 2025 ที่เรื่องของเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่สามารถใช้ข้อมูลเพื่อต่อยอดประสิทธิภาพของงานคลังสินค้าได้ Store Master ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านคลังสินค้าอัจฉริยะ ASRS พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยเทคโนโลยีที่อยู่แถวหน้าของวงการและความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองในระดับสากล

Store Master เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับคลังสินค้าอัจฉริยะ ASRS แบรนด์ Kardex Remstar จากเยอรมนีที่ขึ้นชื่อเรื่องของเทคโนโลยีและคุณภาพอันโดดเด่น โดย ASRS จาก Kardex Remstar มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบตามเงื่อนไขความต้องการของธุรกิจ โดย Kardex Shuttle Series ถือเป็นตระกูลที่เหมาะสมกับความท้าทายในงานคลังสินค้ายุคใหม่อย่างมาก

Kardex Shuttle Series เป็นคลังสินค้า ASRS แบบแนวตั้งที่ประหยัดพื้นที่ได้มากถึง 85% มีขนาดสูงสุดได้ถึง 30 เมตร และรับน้ำหนักได้ถึง 1 ตันต่อชั้น Kardex Shuttle Series มาพร้อมกับระบบสนับสนุนการทำงานและเก็บข้อมูลที่ทำให้สามารถติดตามการทำงานไปจนถึงการตรวจสอบสินค้าคงคลังได้แบบ Real-Time มีระบบที่ช่วยลดความผิดพลาดในงานคลังสินค้าได้สูงถึง 99% สามารถติดตั้งระบบติดตามควบคุมสภาพแวดล้อมและการดับเพลิงเอาไว้ภายในเพิ่มเติมได้ โดยการประกอบติดตั้งนั้นจะเป็นการนำชิ้นส่วนจากเยอรมนีมาประกอบขึ้นภายในโรงงานที่ต้องการใช้งานโดยตรง เรียกว่าทุกฟังก์ชั่นรองรับการใช้งานภายใต้สภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมยุคดิจิทัลอย่างครบถ้วน ใช้งานได้ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น

ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ Store Master ทำให้ Kardex Remstar ได้แต่งตั้งให้เป็น Asia Pacific Kardex Remstar Professional Technician ประจำภูมิภาคและมีหน้าที่ในการติดตั้ง ซ่อมบำรุง รวมถึงเคลื่อนย้าย ASRS จาก Kardex Remstar หลากหลายประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก มั่นใจได้ในการให้คำปรึกษาการใช้งาน การดูแลก่อนและหลังการขาย ไปจนถึงการประกอบติดตั้งที่จะถูกปรับแต่งให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างลงตัวแน่นอน

คุณค่าที่ Store Master มอบให้กับผู้ใช้งาน คือ การดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถเข้าไปสนับสนุนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่อง Downtime ว่าจะเกิดขึ้นยาวนาน ส่วนต้นทุนที่ต้องใช้นั้นเรียกว่าคุ้มค่าแบบจับต้องได้ เพราะ Total Cost of Ownership (TCO) เรียกว่าไม่แพงเลยสำหรับเทคโนโลยีคุณภาพสูงเช่นนี้ ทั้งค่าใช้จ่าย ค่าบริการต่อปีต่าง ๆ ความคุ้มค่าที่เกิดทั้งในมิติของมูลค่าเทคโนโลยี ต้นทุนรวมที่ต้องใช้ และการบริการหลังการขายที่ไม่ทิ้งกันอย่างแน่นอน เรียกว่าเป็นคุณค่าที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการชั้นนำในงานคลังสินค้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ

หากใครที่มีข้อสงสัยเรื่องเทคโนโลยี ASRS หรือกำลังมองหาโซลูชั่นคลังสินค้าอัจฉริยะไม่ว่าจะแนวตั้งหรือแนวนอน Store Master ในฐานะตัวแทนจำหน่ายและผู้ให้บริการระดับภูมิภาคของ Kardex Remstar พร้อมให้คำปรึกษากับทุกท่านแล้ววันนี้

สนใจโซลูชั่นจัดเก็บสินค้าแนวตั้งอัจฉริยะแบรนด์ Kardex Remstar ติดต่อ:

Store Master Co., Ltd.

โทรศัพท์: 02-988-5460, 081-890-1597
Email: [email protected]
Website: www.storemaster.co.th และ www.kardex.com

Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire
Intelligent Asia Thailand 2025