คลังสินค้านั้นเป็นส่วนของธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคดิจิทัลที่การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย และการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมไทยที่กำลังออกเดินทางสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูงก็ต้องการคลังสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายใหม่นี้เช่นกัน MM Thailand จึงได้ชวน Store Master ผู้เชี่ยวชาญด้านคลังสินค้าอัจฉริยะมาฉายภาพของแนวโน้มความท้าทายและเทคโนโลยีสำหรับคลังสินค้าในปี 2025 ส่งท้ายปีเก่าเป็นของขวัญให้กับผู้อ่านกันครับ
- E-Commerce ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของธุรกิจคลังสินค้า
- เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรด้านพื้นที่และแรงงาน เทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นในปี 2025
- ASRS ยุคใหม่จะถูกมองเป็นโซลูชันแบบองค์รวมมากกว่าการใช้งานเทคโนโลยีแบบเดี่ยว
- การลงทุนเทคโนโลยีโดยมากจะเน้นไปที่การ Optimize โครงสร้างเดิมมากกว่าการขยายพื้นที่ซึ่งมีต้นทุนที่สูงมาก
- ASRS ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถลดความผิดพลาดในกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมาก
ตลาดคลังสินค้าอัจฉริยะกับการเติบโตแบบ Exponential ในปี 2025
ด้วยความต้องการในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับความท้าทายในการปฏิบัติงานด้านคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น คลังสินค้าอัจฉริยะยุคใหม่จึงประกอบไปด้วย หุ่นยนต์, IoT, AI และ Data Analytics เพื่อยกระดับการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง การติดตามข้อมูลที่เกิดขึ้นได้แบบ Real-Time ทำให้เกิดการบริหารจัดการซัพพลายเชนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการในสถานการณ์ที่เกิดการขาดแคลนแรงงานและทักษะแรงงานดังเช่นในปัจจุบัน
จากข้อมูลของ SNS Insider มีการประเมินมูลค่าของตลาด Smart Warehousing ไว้ว่ามีมูลค่า 22,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 และคาดว่าจะมีมูลค่าการเติบโตอยู่ที่ 75,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2032 อัตราการเติบโตทบต้นต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 14.3% ในช่วงปี 2023 – 2032 ซึ่งไม่ว่าตลาดใดก็ตาม E-Commerce จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันในการเติบโตของปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงอย่างเข้มข้น
โดยการเติบโตของตลาด Smart Warehouse สูงที่สุดเกิดขึ้นที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพราะมีการประยุกต์ใช้ IoT, AI และหุ่นยนต์มากขึ้นในประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่น นอกจาก E-Commerce แล้ว ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังได้รับผลกระทบจากการตื่นตัวในภาคการผลิตของภูมิภาคที่มีการย้ายฐานการลงทุนเกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจคลังสินค้านั้นเติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
หากพิจารณาลึกลงไปในเทคโนโลยีอย่าง ASRS ข้อมูลของ Straits Research บ่งชี้ว่าในปี 2024 นี้จะมีมูลค่าอยู่ที่ 11,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะขึ้นไปอยู่ที่ 11,980 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 คาดการณ์ว่าในปี 2033 จะมีมูลค่า 19,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยอัตราการเติบโตทบต้นต่อปีที่ 7.41% ระหว่างปี 2025 – 2033 โดยระบบ ASRS ไม่ว่าจะเป็นแบบ Shuttle (แนวตั้ง), Horizontal (แนวนอน) หรือ Carousel (แบบใช้หุ่นยนต์) จะได้รับความนิยมมากขึ้น เป็นผลจาก E-Commerce และการจัดส่งสินค้าแบบ Omnichannel เพื่อให้กระจายสินค้าได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งหัวใจหลักของการใช้งาน ASRS นั้นจะอยู่ที่การใช้งานพื้นที่ได้คุ้มค่า และเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่ง
Smart Warehouse 2025 เมื่อคลังสินค้าอัจฉริยะถูกมองเป็น Ecosystem มากกว่าเทคโนโลยี Stand Alone
ภายหลังการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส 2019 ธุรกิจคลังสินค้าได้เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น และเมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาเดินหน้าอีกครั้งธุรกิจคลังสินค้าเองก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่แตกต่างออกไปจากธุรกิจอื่นด้วยแรงส่งมหาศาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ในปี 2025 นี้ ความคล่องตัวของซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นจะเป็นประเด็นสำคัญในการรับมือกับดีมานด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วรุนแรงตามปัจจัยภายนอกอันหลากหลาย ไม่ว่าจะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า เทรนด์ของความยั่งยืน ไปจนถึงความต้องการในการลดต้นทุนของธุรกิจเอง ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องใช้งานเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มการมองเห็นในซัพพลายเชน ทำให้เกิดการบริหารจัดการคลังสินค้าได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งยังต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของดีมานด์และซัพพลายที่ผันผวนรวดเร็วได้อีก ส่งผลให้เทคโนโลยีการคาดการณ์ การวิเคราะห์ และการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสามารถตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ได้ดี กลายเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้
การมี Fulfillment หลายช่องทางจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น เพราะธุรกิจที่จะต้องรับมือกับคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มและช่องทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มซื้อของออนไลน์ การซื้อขายผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือการซื้อขายหน้าร้าน การที่มีคงคลังที่สามารถตอบสนองความยืดหยุ่น และทำงานร่วมกันระหว่างแต่ละระบบในการจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างราบรื่นเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ภาพของการใช้เทคโนโลยีสำหรับคลังสินค้ายุคใหม่หรือ Smart Warehouse นั้นจำเป็นต้องมองไปถึงการต่อยอดและผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ ทำให้การแข่งขันในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงนี้เรื่องของ Ecosystem สำหรับธุรกิจคลังสินค้ากลายเป็นปัจจัยที่ต้องมองให้เห็นภาพรวมที่เกิดขึ้นมากกว่าการใช้เทคโนโลยีแบบ Stand Alone เทคโนโลยีอย่าง ASRS ที่ถือว่าเป็นแกนกลางของคลังสินค้ายุคใหม่จึงถูกประกอบร่างขึ้นมาร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ โดยเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทกับงานคลังสินค้าปี 2025 มีดังนี้
AI ยกระดับประสิทธิภาพงานคลังด้วยการบริหารจัดการที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การมาถึงของ AI สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะการผลิต การบริหารจัดการ การตลาด หรืองานคลังสินค้า
- การคาดการณ์ดีมานด์ล่วงหน้า: ด้วยการใช้ข้อมูลประวัติการขาย แนวโน้มที่เกิดขึ้นในแต่ละฤดูกาล และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของตลาด AI จะช่วยให้คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
- การเติมสินค้าและการตอบสนองต่อคำสั่งอัตโนมัติ: ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะสามารถติดตามข้อมูลปริมาณสินค้าคงคลังได้แบบ Real-Time และสร้างคำสั่งซื้อสินค้าอัตโนมัติเมื่อสินค้าเหลือน้อย ทำให้ลดความผิดพลาดของแรงงานและมั่นใจได้ว่าปริมาณของสินค้าคงคลังจะมีเพียงพอโดยไม่ต้องมีแรงงานมาเกี่ยวข้อง
- ยกระดับศักยภาพซัพพลายเชน: การใช้ AI ติดตามข้อมูลจะทำให้เกิดการทำงานเชิงรุกของคลังสินค้าเพื่อลดความล่าช้าและรักษาไว้ซึ่งความสามารถในการบริการที่ประทับใจ ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการถูกก่อกวนด้วยปัจจัยต่าง ๆ ผ่านการใช้ข้อมูลที่แม่นยำ
- เพิ่ม Workflow ได้เต็มศักยภาพ: ด้วยการวิเคราะห์กิจกรรมของคลังสินค้า AI จะระบุ Workflow ที่ไร้ประสิทธิภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายของง่าย ๆ ไปจนถึงการบรรจุสินค้าในบรรจุภัณฑ์ ทำให้คลังสินค้าสามารถปรับกระบวนการทำงานตามดีมานด์ และลดต้นทุนการดำเนินการทั้งยังเพิ่มผลิตภาพได้ในเวลาเดียวกัน
- ขยายความเป็นไปได้ใหม่ของหุ่นยนต์อัจฉริยะ: การใช้งาน AI กับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมหรือ Cobot ทำให้หุ่นยนต์เหล่านี้มีความยืดหยุ่นในการทำงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาพแวดล้อมของคลังสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย และมีภาระหน้าที่ต้องทำงานหลากหลาย
‘ASRS’ และ ‘หุ่นยนต์’ แก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานและการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอย่าง ASRS กลายเป็นส่วนสำคัญในการจัดการงานคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ASRS สามารถใช้งานร่วมกับ AMMR (Autonomous Mobile Manipulation Robot) หรือบางค่ายเรียกว่า MoMas (Mobile Manipulators) ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นและความแม่นยำในงานคลังได้อย่างแตกต่างและชัดเจน
- ลดปัญหาความผิดพลาดแรงงาน: การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ ไม่ว่า ASRS หรือหุ่นยนต์จะช่วยลดปัญหาการทำงานที่ผิดพลาดในกระบวนการต่าง ๆ ของงานคลังสินค้าได้
- แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน: การขาดแคลนแรงงานในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะเข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้น การใช้ระบบอัตโนมัติที่เชื่อถือได้จะสร้างเสถียรภาพให้กับธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ: ระบบอัตโนมัติเหล่านี้สามารถติดตามข้อมูลเพื่อทำการประเมินและปรับปรุงการทำงานได้แบบ Real-Time ประสิทธิภาพและผลิตภาพการทำงานของคลังสินค้าจึงสามารถตอบสนองต่อดีมานด์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดี
- ทำให้เกิดการใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด: ต้นทุนที่มีราคาสูงที่สุดสำหรับงานคลัง คือ พื้นที่ การใช้งาน ASRS และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งยังลดการใช้พื้นที่โหลดสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บในแนวตั้ง
- Robotics as a Service (RaaS): การบริการ RaaS จะเกิดขึ้นในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ลดกำแพงการเข้าถึงการใช้งานหุ่นยนต์ในงานคลังสินค้า ครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์ การติดตามข้อมูล การซ่อมบำรุงต่าง ๆ ทำให้สามารถคาดการณ์ต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น
- AMR และ Cobot หัวใจของความยืดหยุ่นงานคลังยุคใหม่: AMR และ Cobot ต่างเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย และสามารถประยุกต์ปรับแต่งการใช้งานได้อย่างหลากหลาย เรียกว่าเพิ่มทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพของแรงงานเดิมที่มีอยู่ได้ในเวลาเดียวกัน
- หุ่นยนต์ Cube Storage: หุ่นยนต์รูปแบบลูกบาศก์ที่เพิ่ม Throughput ของงานคลังสินค้าได้ง่าย เหมาะกับงาน E-Commerce เพราะมีความหนาแน่นในการจัดเก็บสูง ตอบสนองต่องาน Fulfillment ได้ดี
‘IoT’ และ ‘แพลตฟอร์มอัจฉริยะ’ เรื่องจำเป็นสำหรับโรงงานปี 2025
การแข่งขันของคลังสินค้าในปี 2025 นั้นเรื่องของข้อมูลจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นพื้นฐานของการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมด ดังนั้น การใช้งาน ASRS หรือหุ่นยนต์ต่าง ๆ ในงานคลังสินค้าจะต้องสามารถแสดงข้อมูลได้แบบ Real-Time เพื่อให้ควบคุมต้นทุนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที การใช้งาน IoT และแพลตฟอร์มอัจฉริยะในการรวบรวมและบริหารข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่นี้
- Real-Time Tracking: การบริหารจัดการคลังสินค้ายุคใหม่ นอกจากจะต้องตอบสนองต่อการทำงานภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ความสามารถนำเสนอข้อมูลสำหรับผู้ใช้งานหรือลูกค้าในการติดตามสถานะสินค้ากลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ E-Commerce เฟื่องฟู
- การเฝ้าระวังสถานะสินค้า: สินค้าหรือชิ้นส่วนบางประเภทต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่น แก้วที่เสียหายง่าย หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องควบคุมความชื้น การมีเซ็นเซอร์หรือ IoT จะช่วยลดความเสียหายจากการจัดเก็บด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ที่เหมาะสมได้
- Digital Twins พื้นที่ Sandbox ในการปรับปรุงประสิทธิภาพ: Digital Twins นั้นเป็นเหมือนกระจกสะท้อนกิจกรรมคลังสินค้าที่เกิดขึ้นจริงแบบ Real-Time ทำให้สามารถทดลองปรับการทำงานต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพได้ก่อนที่จะนำมาปรับใช้จริง ทั้งยังสามารถต่อยอดใช้งาน AI เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและปรับกลยุทธ์ในการรับมือสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
- ระบบเครือข่าย 5G เพื่อการทำงานไร้รอยต่อ: เมื่อการทำงานในคลังสินค้าเต็มไปด้วย IoT และหุ่นยนต์เคลื่อนที่ การใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายอย่าง 5G ที่มีความเสถียรสูงและมีคลื่นสัญญาณให้เลือกใช้จำนวนมากจะทำให้การเชื่อมต่อข้อมูล และการทำงานของเทคโนโลยีที่ต้องสอดประสานกันเกิดขึ้นได้เป็นอย่างปลอดภัย ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดใช้งานกับ Autonomous Logistics Fleet หรือการขนส่งสินค้าอัตโนมัติในอนาคตได้อีกด้วย
- Smart Cloud Platform ตัวเร่งความเร็ว DX และการลดต้นทุน: การใช้งาน Cloud ยุคใหม่จะช่วยลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรต่าง ๆ ด้าน IT ที่ใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้าเกิดความรวดเร็วในการทำงาน ทั้งยังทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสูงไปพร้อม ๆ กับการมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยคอยกำกับดูแลจากผู้ให้บริการอีกด้วย
Store Master ขับเคลื่อนคลังสินค้าปี 2025 ด้วยเทคโนโลยีและงานบริการระดับภูมิภาค
ภายใต้ความท้าทายที่เข้มข้นยิ่งขึ้นของการทำธุรกิจและการใช้งานคลังสินค้าปี 2025 ที่เรื่องของเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่สามารถใช้ข้อมูลเพื่อต่อยอดประสิทธิภาพของงานคลังสินค้าได้ Store Master ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านคลังสินค้าอัจฉริยะ ASRS พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยเทคโนโลยีที่อยู่แถวหน้าของวงการและความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองในระดับสากล
Kardex Remstar โซลูชั่น ASRS ที่เปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นแรงส่งของธุรกิจ
Store Master เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับคลังสินค้าอัจฉริยะ ASRS แบรนด์ Kardex Remstar จากเยอรมนีที่ขึ้นชื่อเรื่องของเทคโนโลยีและคุณภาพอันโดดเด่น โดย ASRS จาก Kardex Remstar มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบตามเงื่อนไขความต้องการของธุรกิจ โดย Kardex Shuttle Series ถือเป็นตระกูลที่เหมาะสมกับความท้าทายในงานคลังสินค้ายุคใหม่อย่างมาก
Kardex Shuttle Series เป็นคลังสินค้า ASRS แบบแนวตั้งที่ประหยัดพื้นที่ได้มากถึง 85% มีขนาดสูงสุดได้ถึง 30 เมตร และรับน้ำหนักได้ถึง 1 ตันต่อชั้น Kardex Shuttle Series มาพร้อมกับระบบสนับสนุนการทำงานและเก็บข้อมูลที่ทำให้สามารถติดตามการทำงานไปจนถึงการตรวจสอบสินค้าคงคลังได้แบบ Real-Time มีระบบที่ช่วยลดความผิดพลาดในงานคลังสินค้าได้สูงถึง 99% สามารถติดตั้งระบบติดตามควบคุมสภาพแวดล้อมและการดับเพลิงเอาไว้ภายในเพิ่มเติมได้ โดยการประกอบติดตั้งนั้นจะเป็นการนำชิ้นส่วนจากเยอรมนีมาประกอบขึ้นภายในโรงงานที่ต้องการใช้งานโดยตรง เรียกว่าทุกฟังก์ชั่นรองรับการใช้งานภายใต้สภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมยุคดิจิทัลอย่างครบถ้วน ใช้งานได้ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น
Store Master ผู้เชี่ยวชาญด้าน ASRS ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก Kardex Remstar
ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ Store Master ทำให้ Kardex Remstar ได้แต่งตั้งให้เป็น Asia Pacific Kardex Remstar Professional Technician ประจำภูมิภาคและมีหน้าที่ในการติดตั้ง ซ่อมบำรุง รวมถึงเคลื่อนย้าย ASRS จาก Kardex Remstar หลากหลายประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก มั่นใจได้ในการให้คำปรึกษาการใช้งาน การดูแลก่อนและหลังการขาย ไปจนถึงการประกอบติดตั้งที่จะถูกปรับแต่งให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างลงตัวแน่นอน
คุณค่าที่ Store Master มอบให้กับผู้ใช้งาน คือ การดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถเข้าไปสนับสนุนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่อง Downtime ว่าจะเกิดขึ้นยาวนาน ส่วนต้นทุนที่ต้องใช้นั้นเรียกว่าคุ้มค่าแบบจับต้องได้ เพราะ Total Cost of Ownership (TCO) เรียกว่าไม่แพงเลยสำหรับเทคโนโลยีคุณภาพสูงเช่นนี้ ทั้งค่าใช้จ่าย ค่าบริการต่อปีต่าง ๆ ความคุ้มค่าที่เกิดทั้งในมิติของมูลค่าเทคโนโลยี ต้นทุนรวมที่ต้องใช้ และการบริการหลังการขายที่ไม่ทิ้งกันอย่างแน่นอน เรียกว่าเป็นคุณค่าที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการชั้นนำในงานคลังสินค้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ
หากใครที่มีข้อสงสัยเรื่องเทคโนโลยี ASRS หรือกำลังมองหาโซลูชั่นคลังสินค้าอัจฉริยะไม่ว่าจะแนวตั้งหรือแนวนอน Store Master ในฐานะตัวแทนจำหน่ายและผู้ให้บริการระดับภูมิภาคของ Kardex Remstar พร้อมให้คำปรึกษากับทุกท่านแล้ววันนี้
สนใจโซลูชั่นจัดเก็บสินค้าแนวตั้งอัจฉริยะแบรนด์ Kardex Remstar ติดต่อ:
Store Master Co., Ltd.
โทรศัพท์: 02-988-5460, 081-890-1597
Email: [email protected]
Website: www.storemaster.co.th และ www.kardex.com