Cyber_security

SMEs หาโอกาสในความเสี่ยงด้าน Cyber-Security

Date Post
14.08.2024
Post Views

ในยุคดิจิตอลที่การทำธุรกรรมและการดำเนินงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก(Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่มีทรัพยากรจำกัดในการจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ จึงอาจต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาการโจมตีทางไซเบอร์ง่ายกว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่า

แต่บริษัท SMEs ก็สามารถเปลี่ยนความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจของตนเองได้ก็จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้อย่างมาก

วันนี้ MM Thailand จะพาทุกท่านได้เห็นถึงโอกาสที่ซ้อนอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของธุรกิจ SMEs และความปลอดภัยทางไซเบอร์

การทำความเข้าใจในความเสี่ยงของตนเองและวางมาตรการความปลอดภัย

เริ่มจากการประเมินความเสี่ยงว่าบริษัทของตนเองนั้นมีโอกาสในการโดนโจมตีทางไซเบอร์ในด้านใดบ้าง ยกตัวอย่างเช่น การโดนโจมตีจากมัลแวร์ (Malware) การขโมยข้อมูล และการบุกรุกเครือข่าย การเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับการโจมตีเหล่านี้จะช่วยให้ SMEs สามารถวางแผนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพและหาวิธีรับมือกับการโจมตีเหล่านั้นได้ทันทีเพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

เมื่อ SMEs มีมาตรการป้องกันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มากขึ้น จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การมีใบรับรองความปลอดภัย ISO/TEC 27001 รวมถึงมาตรการความปลอดภัยที่ได้วางแผนไว้หลังจากเข้าใจความเสี่ยงเบื้องต้นจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าธุรกิจของคุณมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านความปลอดภัย

การนำเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์มาใช้ เช่น การเข้ารหัสข้อมูล(Data Encryption) การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง(Access Control Management) และการตรวจสอบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์(Real-Time Security Monitoring) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดการหยุดชะงักที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ และช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้การเพิ่มการป้องกันทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวมานั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทุนทรัพย์ปริมาณมากเพื่อสร้างระบบใหม่แต่เป็นการเลือกใช้บริการด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น

1. การตรวจสอบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์

  • ใช้บริการระบบตรวจสอบความปลอดภัยแบบคลาวด์ (Cloud-Based Security Monitoring Services) เป็นบริการที่มีค่าใช้จ่ายที่ยืดหยุ่นตามการใช้งาน เช่น Amazon GuardDuty, Microsoft Azure Security Center หรือ Google Cloud Security Command Center
  • ใช้เครื่องมือฟรีหรือเครื่องมือโอเพนซอร์ส (Free or Open-Source Tools) เช่น Snort, OSSEC หรือ Suricata ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพและได้รับการสนับสนุนจากชุมชน

2. การเข้ารหัสข้อมูล

  • ใช้โซลูชันการเข้ารหัสแบบคลาวด์ (Cloud Encryption Solutions) เช่น AWS Key Management Service (KMS), Azure Key Vault หรือ Google Cloud Key Management ที่มีค่าใช้จ่ายตามการใช้งาน
  • ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (Open-Source Software) เช่น VeraCrypt สำหรับการเข้ารหัสไฟล์และไดรฟ์

3. การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง

  • บริการการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงแบบคลาวด์ (Cloud-Based Access Management Services)  เช่น Okta, Auth0 หรือ Microsoft Azure Active Directory ที่มีค่าใช้จ่ายตามจำนวนผู้ใช้
  • ระบบการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่มากับระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ (Built-in Access Management Features) ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์หลาย ๆ ตัวมักมีฟีเจอร์การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง เช่น Windows Active Directory, Linux ACLs

* การยกตัวอย่างบริการข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเท่านั้น หากต้องการใช้บริการจากตัวอย่างข้างต้นควรศึกษาข้อกำหนดของบริการก่อนใช้งานเสมอ

ตัวเลือก 3 รูปแบบเพื่อเป็นแนวทางเพิ่มเติมในการลดค่าใช้จ่าย

  • การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนักรู้ (Training and Awareness) ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เพื่อป้องกันการละเมิดความปลอดภัย
  • การใช้บริการการป้องกันที่หลากหลาย (Integrated Security Services) บริการที่รวมฟังก์ชันการป้องกันหลาย ๆ ด้านเข้าด้วยกัน เช่น การตรวจสอบความปลอดภัย การเข้ารหัส และการจัดการสิทธิ์การเข้าถึง
  • การเลือกใช้บริการที่มีค่าใช้จ่ายตามการใช้งาน (Pay-As-You-Go Services) บริการที่มีค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

การลงทุนในความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร แต่ SMEs สามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของตนเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมาก

การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร

นอกจากนี้การสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในองค์กรก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงความเสี่ยงด้านต่าง ๆ วิธีการป้องกัน และการจัดการกับสถานการณ์นั้น ๆ จะเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับองค์กรมากขึ้นไปอีกขั้น ตัวอย่างหัวข้ออบรม เช่น

การตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Threat Awareness)

  • ประเภทของภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น
    • Phishing การหลอกลวงให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล เว็บไซต์ที่ดูเหมือนจะเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ และข้อความทางโซเชียลมีเดีย 
    • Malware ซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสอดแนมการใช้งานของผู้ใช้และขโมยข้อมูลส่วนตัว
    • Ransomware ซอฟต์แวร์ที่เข้ารหัสข้อมูลของผู้ใช้แล้วเรียกค่าไถ่เพื่อให้ปลดล็อกข้อมูล
  • ตัวอย่างเหตุการณ์จริงของการโจมตีและผลกระทบที่เกิดขึ้น

การสร้างและการจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัย (Password Security)

  • หลักการสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัย
  • การใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน (Password Manager)
  • ความสำคัญของการไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบัญชี

การใช้งานเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย (Safe Network and Internet Usage)

  • การใช้งานเครือข่ายสาธารณะและ Wi-Fi อย่างปลอดภัย
  • การหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

การป้องกันและจัดการมัลแวร์ (Malware Prevention and Management)

  • วิธีการป้องกันมัลแวร์และการติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส
  • การสแกนและกำจัดมัลแวร์

การรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ (Device Security)

  • การตั้งค่าความปลอดภัยบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์
  • การใช้งานฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูล

การสำรองข้อมูล (Data Backup)

  • ความสำคัญของการสำรองข้อมูล
  • วิธีการสำรองข้อมูลอย่างถูกต้องและปลอดภัย

การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control Management)

  • การกำหนดและจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและระบบ
  • การยืนยันตัวตนและการอนุญาต (Authentication and Authorization)

การตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางไซเบอร์ (Cyber Incident Response)

  • กระบวนการรายงานและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่น่าสงสัย
  • การเก็บรักษาหลักฐานและการแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบ

การฝึกอบรมพนักงานในหัวข้อเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความตระหนักและความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และยังช่วยลดความเสี่ยงที่องค์กรจะต้องเผชิญภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้

การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ Machine Learning

การนำเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้วางระบบคัดกรองภายในองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาดูแลจึงอาจเหมาะสมกับธุรกิจ SMEs ที่มีทุนทรัพย์มากสำหรับนำมาพัฒนาเรื่องนี้ 

การตรวจจับภัยคุกคามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (Enhanced Threat Detection)

  • การตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติ (Anomaly Detection) AI และ Machine Learning สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมปกติของระบบและเครือข่าย เมื่อมีพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือผิดแปลกไปจากรูปแบบที่เรียนรู้ ระบบจะสามารถตรวจจับและแจ้งเตือนภัยคุกคามได้ทันที
  • การตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ (Real-Time Threat Detection) AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งในเวลาเดียวกันและตรวจจับภัยคุกคามได้ทันที ทำให้สามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว

การลดปริมาณการแจ้งเตือนที่ผิดพลาด (Reduction of False Positives)

  • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Learning Analytics) Machine Learning สามารถแยกแยะระหว่างกิจกรรมปกติและกิจกรรมที่เป็นภัยได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลดปริมาณการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดและช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถมุ่งเน้นไปที่ภัยคุกคามที่แท้จริง

การตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว (Rapid Response to Threats)

  • การทำงานอัตโนมัติ (Automation) AI สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามโดยอัตโนมัติ เช่น การบล็อกการเข้าถึงที่ผิดปกติ การกักกันเครื่องที่ถูกโจมตี หรือการส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบ
  • การวิเคราะห์และการรายงาน (Automated Analysis and Reporting) ระบบ AI สามารถสร้างรายงานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวิเคราะห์และตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเรียนรู้และปรับปรุงต่อเนื่อง (Continuous Learning and Improvement)

  • การเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา (Learning from Past Incidents) Machine Learning สามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและปรับปรุงความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามใหม่ ๆ
  • การปรับตัวตามรูปแบบภัยคุกคามใหม่ (Adaptation to New Threat Patterns) AI สามารถปรับตัวตามรูปแบบภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้สามารถป้องกันภัยคุกคามที่ยังไม่เคยพบมาก่อนได้

การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ (Effective Risk Management)

  • การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) AI สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยคุกคามต่าง ๆ
  • การให้คำแนะนำในการป้องกัน (Preventive Recommendations) ระบบ AI สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงความปลอดภัย เช่น การปรับปรุงนโยบายความปลอดภัย การตั้งค่าความปลอดภัยใหม่ หรือการฝึกอบรมพนักงานเพิ่มเติม

การนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์สามารถช่วยให้ SMEs มีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี และเพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อภัยคุกคามในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เป็นโอกาสไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับ SMEs เมื่อมีการวางแผนและดำเนินการอย่างถูกต้อง การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง AI และ Machine Learning และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นวิธีการที่ SMEs สามารถใช้ในการเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนา

การดำเนินการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของทุกท่านมีรากฐานด้านความปลอดภัยที่มากขึ้นทำให้แนวโน้มการเติบโตของบริษัทนั้นจะมากขึ้นในระยะยาว

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ