ในยุคดิจิตอลที่การทำธุรกรรมและการดำเนินงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก(Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่มีทรัพยากรจำกัดในการจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ จึงอาจต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาการโจมตีทางไซเบอร์ง่ายกว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่า
- Solar-Rooftop โครงการบรรเทาค่าใช้จ่ายการใช้ไฟฟ้า
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT ในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
แต่บริษัท SMEs ก็สามารถเปลี่ยนความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจของตนเองได้ก็จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้อย่างมาก
วันนี้ MM Thailand จะพาทุกท่านได้เห็นถึงโอกาสที่ซ้อนอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของธุรกิจ SMEs และความปลอดภัยทางไซเบอร์
การทำความเข้าใจในความเสี่ยงของตนเองและวางมาตรการความปลอดภัย
เริ่มจากการประเมินความเสี่ยงว่าบริษัทของตนเองนั้นมีโอกาสในการโดนโจมตีทางไซเบอร์ในด้านใดบ้าง ยกตัวอย่างเช่น การโดนโจมตีจากมัลแวร์ (Malware) การขโมยข้อมูล และการบุกรุกเครือข่าย การเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับการโจมตีเหล่านี้จะช่วยให้ SMEs สามารถวางแผนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพและหาวิธีรับมือกับการโจมตีเหล่านั้นได้ทันทีเพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด
เมื่อ SMEs มีมาตรการป้องกันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มากขึ้น จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การมีใบรับรองความปลอดภัย ISO/TEC 27001 รวมถึงมาตรการความปลอดภัยที่ได้วางแผนไว้หลังจากเข้าใจความเสี่ยงเบื้องต้นจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าธุรกิจของคุณมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านความปลอดภัย
การนำเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์มาใช้ เช่น การเข้ารหัสข้อมูล(Data Encryption) การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง(Access Control Management) และการตรวจสอบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์(Real-Time Security Monitoring) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดการหยุดชะงักที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ และช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้การเพิ่มการป้องกันทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวมานั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทุนทรัพย์ปริมาณมากเพื่อสร้างระบบใหม่แต่เป็นการเลือกใช้บริการด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น
1. การตรวจสอบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
- ใช้บริการระบบตรวจสอบความปลอดภัยแบบคลาวด์ (Cloud-Based Security Monitoring Services) เป็นบริการที่มีค่าใช้จ่ายที่ยืดหยุ่นตามการใช้งาน เช่น Amazon GuardDuty, Microsoft Azure Security Center หรือ Google Cloud Security Command Center
- ใช้เครื่องมือฟรีหรือเครื่องมือโอเพนซอร์ส (Free or Open-Source Tools) เช่น Snort, OSSEC หรือ Suricata ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพและได้รับการสนับสนุนจากชุมชน
2. การเข้ารหัสข้อมูล
- ใช้โซลูชันการเข้ารหัสแบบคลาวด์ (Cloud Encryption Solutions) เช่น AWS Key Management Service (KMS), Azure Key Vault หรือ Google Cloud Key Management ที่มีค่าใช้จ่ายตามการใช้งาน
- ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (Open-Source Software) เช่น VeraCrypt สำหรับการเข้ารหัสไฟล์และไดรฟ์
3. การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง
- บริการการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงแบบคลาวด์ (Cloud-Based Access Management Services) เช่น Okta, Auth0 หรือ Microsoft Azure Active Directory ที่มีค่าใช้จ่ายตามจำนวนผู้ใช้
- ระบบการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่มากับระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ (Built-in Access Management Features) ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์หลาย ๆ ตัวมักมีฟีเจอร์การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง เช่น Windows Active Directory, Linux ACLs
* การยกตัวอย่างบริการข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเท่านั้น หากต้องการใช้บริการจากตัวอย่างข้างต้นควรศึกษาข้อกำหนดของบริการก่อนใช้งานเสมอ
ตัวเลือก 3 รูปแบบเพื่อเป็นแนวทางเพิ่มเติมในการลดค่าใช้จ่าย
- การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนักรู้ (Training and Awareness) ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เพื่อป้องกันการละเมิดความปลอดภัย
- การใช้บริการการป้องกันที่หลากหลาย (Integrated Security Services) บริการที่รวมฟังก์ชันการป้องกันหลาย ๆ ด้านเข้าด้วยกัน เช่น การตรวจสอบความปลอดภัย การเข้ารหัส และการจัดการสิทธิ์การเข้าถึง
- การเลือกใช้บริการที่มีค่าใช้จ่ายตามการใช้งาน (Pay-As-You-Go Services) บริการที่มีค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
การลงทุนในความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร แต่ SMEs สามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของตนเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมาก
การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
นอกจากนี้การสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในองค์กรก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงความเสี่ยงด้านต่าง ๆ วิธีการป้องกัน และการจัดการกับสถานการณ์นั้น ๆ จะเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับองค์กรมากขึ้นไปอีกขั้น ตัวอย่างหัวข้ออบรม เช่น
การตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Threat Awareness)
- ประเภทของภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น
- Phishing การหลอกลวงให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล เว็บไซต์ที่ดูเหมือนจะเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ และข้อความทางโซเชียลมีเดีย
- Malware ซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสอดแนมการใช้งานของผู้ใช้และขโมยข้อมูลส่วนตัว
- Ransomware ซอฟต์แวร์ที่เข้ารหัสข้อมูลของผู้ใช้แล้วเรียกค่าไถ่เพื่อให้ปลดล็อกข้อมูล
- ตัวอย่างเหตุการณ์จริงของการโจมตีและผลกระทบที่เกิดขึ้น
การสร้างและการจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัย (Password Security)
- หลักการสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัย
- การใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน (Password Manager)
- ความสำคัญของการไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบัญชี
การใช้งานเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย (Safe Network and Internet Usage)
- การใช้งานเครือข่ายสาธารณะและ Wi-Fi อย่างปลอดภัย
- การหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
การป้องกันและจัดการมัลแวร์ (Malware Prevention and Management)
- วิธีการป้องกันมัลแวร์และการติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส
- การสแกนและกำจัดมัลแวร์
การรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ (Device Security)
- การตั้งค่าความปลอดภัยบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์
- การใช้งานฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูล
การสำรองข้อมูล (Data Backup)
- ความสำคัญของการสำรองข้อมูล
- วิธีการสำรองข้อมูลอย่างถูกต้องและปลอดภัย
การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control Management)
- การกำหนดและจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและระบบ
- การยืนยันตัวตนและการอนุญาต (Authentication and Authorization)
การตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางไซเบอร์ (Cyber Incident Response)
- กระบวนการรายงานและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่น่าสงสัย
- การเก็บรักษาหลักฐานและการแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบ
การฝึกอบรมพนักงานในหัวข้อเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความตระหนักและความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และยังช่วยลดความเสี่ยงที่องค์กรจะต้องเผชิญภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้
การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ Machine Learning
การนำเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้วางระบบคัดกรองภายในองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาดูแลจึงอาจเหมาะสมกับธุรกิจ SMEs ที่มีทุนทรัพย์มากสำหรับนำมาพัฒนาเรื่องนี้
การตรวจจับภัยคุกคามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (Enhanced Threat Detection)
- การตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติ (Anomaly Detection) AI และ Machine Learning สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมปกติของระบบและเครือข่าย เมื่อมีพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือผิดแปลกไปจากรูปแบบที่เรียนรู้ ระบบจะสามารถตรวจจับและแจ้งเตือนภัยคุกคามได้ทันที
- การตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ (Real-Time Threat Detection) AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งในเวลาเดียวกันและตรวจจับภัยคุกคามได้ทันที ทำให้สามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
การลดปริมาณการแจ้งเตือนที่ผิดพลาด (Reduction of False Positives)
- การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Learning Analytics) Machine Learning สามารถแยกแยะระหว่างกิจกรรมปกติและกิจกรรมที่เป็นภัยได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลดปริมาณการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดและช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถมุ่งเน้นไปที่ภัยคุกคามที่แท้จริง
การตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว (Rapid Response to Threats)
- การทำงานอัตโนมัติ (Automation) AI สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามโดยอัตโนมัติ เช่น การบล็อกการเข้าถึงที่ผิดปกติ การกักกันเครื่องที่ถูกโจมตี หรือการส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบ
- การวิเคราะห์และการรายงาน (Automated Analysis and Reporting) ระบบ AI สามารถสร้างรายงานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวิเคราะห์และตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเรียนรู้และปรับปรุงต่อเนื่อง (Continuous Learning and Improvement)
- การเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา (Learning from Past Incidents) Machine Learning สามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและปรับปรุงความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามใหม่ ๆ
- การปรับตัวตามรูปแบบภัยคุกคามใหม่ (Adaptation to New Threat Patterns) AI สามารถปรับตัวตามรูปแบบภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้สามารถป้องกันภัยคุกคามที่ยังไม่เคยพบมาก่อนได้
การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ (Effective Risk Management)
- การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) AI สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยคุกคามต่าง ๆ
- การให้คำแนะนำในการป้องกัน (Preventive Recommendations) ระบบ AI สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงความปลอดภัย เช่น การปรับปรุงนโยบายความปลอดภัย การตั้งค่าความปลอดภัยใหม่ หรือการฝึกอบรมพนักงานเพิ่มเติม
การนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์สามารถช่วยให้ SMEs มีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี และเพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อภัยคุกคามในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เป็นโอกาสไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับ SMEs เมื่อมีการวางแผนและดำเนินการอย่างถูกต้อง การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง AI และ Machine Learning และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นวิธีการที่ SMEs สามารถใช้ในการเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนา
การดำเนินการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของทุกท่านมีรากฐานด้านความปลอดภัยที่มากขึ้นทำให้แนวโน้มการเติบโตของบริษัทนั้นจะมากขึ้นในระยะยาว