ลองนึกถึงกระแสน้ำวนในแม่น้ำ หรือการเคลื่อนที่เป็นวงของใบพัดลมที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน วงจรเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหมุนซ้ำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หมุนกลับมายังจุดเริ่มต้นจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา นี่คือหลักการพื้นฐานของ ‘Spiral Economy’ ซึ่งเศรษฐกิจไม่ได้ทำงานในแบบเส้นตรงหรือการวนซ้ำที่อาจไม่เกิดประโยชน์ แต่จะเคลื่อนที่เป็นวงพร้อมกับการพัฒนาและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน
- การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงระบบหรือผลิตภัณฑ์ในแต่ละรอบของการหมุนเวียน ไม่หยุดนิ่งที่จุดเดิม
- การเพิ่มมูลค่าในทุกวงจรการสร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านการเพิ่มคุณภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละรอบ
- การขยายวงจรการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่เพิ่มการใช้ทรัพยากรใหม่
- การนำส่วนประกอบเก่ามาใช้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ การนำวัสดุหรือชิ้นส่วนจากผลิตภัณฑ์รุ่นเก่ามาปรับปรุงและนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่
- ความยืดหยุ่นในการปรับตัวการออกแบบผลิตภัณฑ์และระบบที่สามารถปรับและขยายได้ตามความต้องการ
- การลดขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพและลดการสร้างขยะที่ไม่จำเป็น
ถ้าเปรียบเทียบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองนึกถึงวัตถุดิบจากการเกษตร เช่น ข้าวโพด ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการผลิตครั้งแรกอาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร แต่แทนที่จะทิ้งซากข้าวโพดที่เหลือมาผลิตเป็นปุ๋ยชีวภาพ นำกลับมาใช้ในระบบเกษตรอีกครั้ง กลายเป็นวงจรการใช้ทรัพยากรที่ต่อเนื่องและคุ้มค่ามากกว่าเดิม
ในระบบเศรษฐกิจแบบ Spiral Economy วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จะถูกนำกลับมาใช้ในลักษณะที่เป็นการพัฒนาเพิ่มขึ้นในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป การนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือการนำไปใช้ในกระบวนการอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืนที่สุด
Spiral Economy Model คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
แนวคิด Spiral Economy ถูกพัฒนาโดย Jan Jonker ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านความยั่งยืนที่ Radboud University ในประเทศเนเธอร์แลนด์ แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความพยายามในการตอบสนองต่อข้อจำกัดของโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีอยู่ เช่น Circular Economy ซึ่งมักจะมุ่งเน้นการปิดวงจรของทรัพยากรและการลดขยะ แต่ยังขาดมิติของการเติบโตและการพัฒนาที่ต่อเนื่อง Jonker มองว่า เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ควรหยุดที่การนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่เพียงเท่านั้น แต่ควรเป็นการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
Spiral Economy มีแนวคิดหลักที่สำคัญ คือ การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ทุกครั้งที่เกิดการหมุนเวียนของทรัพยากรหรือผลิตภัณฑ์ การพัฒนาจะไม่ได้วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นเดิม แต่จะยกระดับขึ้น ทำให้เกิดการสร้างมูลค่าใหม่ และการขยายวงจรไปในทิศทางที่กว้างขึ้น
- การพัฒนาต่อเนื่อง แนวคิดหลักของ Spiral Economy คือ การสร้างวงจรที่ไม่หยุดนิ่งและไม่ย้อนกลับไปที่จุดเดิม แต่มีการพัฒนาต่อเนื่องไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่สามารถปรับปรุงหรือพัฒนาไปสู่เวอร์ชันที่ดีกว่าเดิมในทุกๆ รอบของการใช้งาน
- การเพิ่มมูลค่าในทุกวงจร Spiral Economy มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกๆ รอบของการหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การลดต้นทุนการผลิต หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มมูลค่าเช่นนี้ทำให้วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนมีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
- การขยายวงจรการหมุนเวียน ในขณะที่วงจรหมุนเวียนขยายตัวออกไปในรูปแบบของก้นหอย การขยายวงจรนี้ไม่ได้หมายถึงการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น แต่หมายถึงการใช้ทรัพยากรเดิมให้เกิดประโยชน์มากขึ้น การขยายวงจรเช่นนี้ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับการเติบโตโดยไม่เพิ่มการใช้ทรัพยากรหรือสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เราจะทำให้ Spiral Economy มีบทบาทในอุตสาหกรรมในปัจจุบันได้อย่างไร ?
Spiral Economy ได้รับการนำไปใช้ในหลายบริบท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ ๆ โดยการนำเอาชิ้นส่วนจากรุ่นเก่ามาปรับปรุงและใช้ในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ การพัฒนาในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ลดของเสีย แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรที่มีอยู่
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีการนำแนวคิด Spiral Economy มาใช้ในการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเน้นการใช้วัสดุรีไซเคิลและการออกแบบที่ยืดหยุ่น สามารถปรับปรุงและขยายได้ตามความต้องการ การใช้แนวคิดนี้ช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างในระยะยาว และเพิ่มความยั่งยืนให้กับโครงการก่อสร้าง
เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น ๆ Spiral Economy Model มีข้อแตกต่างอย่างไร ?
Spiral Economy แตกต่างจากโมเดลอื่น ๆ เช่น Butterfly Model และ Cradle to Cradle Model โดยที่ Butterfly Model เน้นการแยกวงจรชีวภาพและเทคโนโลยีออกจากกันเพื่อสร้างการหมุนเวียนที่สมบูรณ์ ในขณะที่ Cradle to Cradle Model มุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด ส่วน Spiral Economy มุ่งเน้นที่การพัฒนาต่อเนื่องและการเพิ่มมูลค่าในทุก ๆ รอบของการหมุนเวียน ไม่ใช่เพียงแค่การปิดวงจรหรือการนำกลับมาใช้ใหม่ แต่เป็นการขยายวงจรและการเติบโตที่ต่อเนื่องโดยไม่หยุดนิ่ง
ความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องเผชิญ
การนำ Spiral Economy ไปใช้จริงยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่สามารถรองรับการพัฒนาต่อเนื่องในลักษณะก้นหอย ซึ่งต้องการนวัตกรรมและการวิจัยที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ การประสานงานระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นจริงก็ยังเป็นข้อจำกัด รวมถึงปัญหาทางด้านการเงินและนโยบายที่อาจจะไม่สอดคล้องกับการลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณา
ตัวอย่างองค์กรที่นำแนวคิด Spiral Economy ไปใช้งาน
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ บริษัท Philips ซึ่งได้นำแนวคิด Spiral Economy มาใช้ในการพัฒนาและรีไซเคิลอุปกรณ์แสงสว่าง โดย Philips ได้สร้างระบบการเก็บและรีไซเคิลหลอดไฟที่หมดอายุการใช้งาน นำชิ้นส่วนที่ยังใช้งานได้กลับมาใช้ในหลอดไฟรุ่นใหม่ ระบบนี้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดขยะจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
นอกเหนือจากบริษัท Philips ที่ได้ใช้ Spiral Economy ในการรีไซเคิลหลอดไฟ อุตสาหกรรมยานยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ โดยบริษัท BMW ได้พัฒนาโครงการที่เรียกว่า “BMW i” ซึ่งเน้นการพัฒนาและผลิตยานพาหนะที่สามารถรีไซเคิลและปรับปรุงได้ตามแนวคิดของ Spiral Economy เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตรถยนต์และการออกแบบชิ้นส่วนที่สามารถถอดประกอบและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ในด้านการเกษตร โครงการ “Agriloop” ของบริษัท Circular Systems ได้ใช้แนวคิด Spiral Economy ในการเปลี่ยนเศษผักและผลไม้ที่เหลือจากการเกษตรให้เป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูง เช่น เส้นใยสำหรับการผลิตเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการขยายวงจรการหมุนเวียนในอุตสาหกรรมที่มักถูกมองว่ามีขยะและของเสียจำนวนมาก
Spiral Economy เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าในทุก ๆ รอบของการหมุนเวียน ไม่เพียงแต่เป็นการปิดวงจรเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการขยายวงจรให้กว้างขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำ Spiral Economy ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ช่วยสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรและความต้องการในอนาคต