- แนวคิดสมดุลเพื่อความยั่งยืน – The Doughnut Economics Model ของ Kate Raworth เสนอให้มีสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ (Social Foundation) และการปกป้องสิ่งแวดล้อม (Ecological Ceiling) เพื่อให้มนุษย์สามารถมีชีวิตที่ดีโดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
- การใช้งานจริง – หลายเมือง เช่น อัมสเตอร์ดัม และประเทศ เช่น คอสตาริกา นำโมเดลนี้มาใช้ในนโยบายที่รักษาทรัพยากรธรรมชาติ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาสังคมด้วยความเป็นธรรม
- ความท้าทายและศักยภาพอนาคต – แม้จะมีความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ The Doughnut Economics Model มีศักยภาพเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวางแผนเศรษฐกิจและสังคมอย่างสมดุลในอนาคต
ไม่ว่าในช่วงวัยไหนของชีวิตสิ่งที่เรามักจะต้องทำเพื่อให้มีรูปร่างและสุขภาพที่ดี คงหนีไม่พ้นการสร้างสมดุลระหว่างการกินอาหารที่ดีและการออกกำลังกายที่เพียงพอ หากเรากินมากเกินไปโดยไม่ออกกำลังกาย ร่างกายเราก็เสี่ยงที่จะมีปัญหา ในทางกลับกัน ถ้าเราออกกำลังกายมากเกินไปโดยไม่กินอาหารให้เพียงพอ เราก็จะขาดพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในการออกกำลังกาย เราจึงต้องสร้างความสมดุลระหว่าง 2 สิ่งนี้ให้เดินไปพร้อมกันในแทบทุกช่วงวัยของชีวิต
ตัวอย่างนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับแนวคิดของ The Doughnut Economics Model ซึ่งเป็นการหาจุดสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่าง “ความเป็นธรรมทางสังคม” กับ “การปกป้องสิ่งแวดล้อม” เหมือนกับการหาจุดสมดุลที่เราจะมีชีวิตที่ดีได้ โดยไม่ทำร้ายโลกใบนี้จนเกินขอบเขต
โดยความเป็นธรรมทางสังคม ในบริบทของ The Doughnut Economics Model คือ การสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรและสิทธิขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการมีชีวิตที่ดีโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ความเป็นธรรมทางสังคมนั้นครอบคลุมหลายมิติ เช่น การเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด ที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล และโอกาสในการมีชีวิตที่มีคุณภาพ
แนวคิดของ The Doughnut Economics Model
The Doughnut Economics Model พัฒนาโดย Kate Raworth นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เธอได้รับแรงบันดาลใจจากการวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจแบบเดิมที่เน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่คำนึงถึงขีดจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม Raworth ได้เขียนหนังสือ “Doughnut Economics: Seven Ways to Think Like a 21st-Century Economist” ในปี 2017 ซึ่งเสนอแนวทางใหม่ในการออกแบบระบบเศรษฐกิจที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของมนุษย์และการปกป้องโลกใบนี้ แนวคิดนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมุ่งเน้นการอยู่ในขอบเขตที่สมดุล ไม่เหมือนระบบเศรษฐกิจแบบเส้นตรงอย่างที่เคยมีมา โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบให้แสดงภาพเศรษฐกิจที่สามารถดำรงอยู่ได้ทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีจุดสำคัญ ดังนี้
- ขอบเขตภายใน (Social Foundation) ประกอบด้วยความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่ทุกคนควรมี เช่น อาหาร น้ำสะอาด ที่อยู่อาศัย การเข้าถึงการศึกษา และการรักษาพยาบาล ขอบเขตนี้เรียกว่า “Social Foundation” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ต้องการให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
- ขอบเขตภายนอก (Ecological Ceiling) ขอบเขตนี้เป็นตัวแทนของขีดจำกัดที่ธรรมชาติสามารถรองรับได้ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ทรัพยากรน้ำ ขอบเขตนี้เรียกว่า “Ecological Ceiling” ซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงหากไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
- พื้นที่ที่ยั่งยืน (The Safe and Just Space) อยู่ระหว่างขอบเขตทั้งสอง คือ พื้นที่ที่มนุษย์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยั่งยืน โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกินขีดจำกัด
การนำไปใช้จริง
The Doughnut Economics Model ได้รับการนำไปใช้ในหลากหลายบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น เมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นเมืองแรกในโลกที่นำโมเดลนี้มาใช้ในการวางแผนพัฒนาเมือง โดยเมืองพยายามรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เช่น ระบบขนส่งมวลชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การนำโมเดลนี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร โดยการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนและมีความเป็นธรรมต่อเกษตรกร ในขณะเดียวกันก็พยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
The Doughnut Economics Model อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม โมเดลนี้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลดีต่อการฟื้นฟูระบบนิเวศและการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ ในด้านสังคมโมเดลนี้ส่งเสริมให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชากรทุกคน การที่เมืองต่าง ๆ เช่น อัมสเตอร์ดัม นำโมเดลนี้ไปใช้ในการวางแผนพัฒนาทำให้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกทั้งในด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในเมือง
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ ประเทศคอสตาริกา ซึ่งสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปกป้องสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี คอสตาริกาใช้พลังงานหมุนเวียนเกือบ 100% และมีนโยบายการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันยังสามารถพัฒนาสังคมด้วยการเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพที่มีคุณภาพให้กับประชากร
ในอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานหมุนเวียน แนวคิดนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยไม่เพียงแต่พิจารณาถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืน แต่ยังคำนึงถึงการกระจายผลประโยชน์ที่เท่าเทียมต่อชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ The Doughnut Economics Model นอกจากนี้ การก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาโครงการบ้านที่ใช้วัสดุรีไซเคิลและประหยัดพลังงานก็เป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนถึงความยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
สิ่งที่เป็นตัวขัดขวางในการนำ The Doughnut Economics ไปใช้งานจริง
แม้ว่า The Doughnut Economics Model จะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่การนำแนวคิดนี้ไปใช้ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ หนึ่งในนั้น คือ การปรับตัวของระบบเศรษฐกิจโลกที่เน้นการเติบโตแบบไม่หยุดนิ่งสู่การพัฒนาที่คำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะสั้นของหลายประเทศและองค์กร นอกจากนี้ การประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนยังเป็นอีกความท้าทายสำคัญ เนื่องจากการสร้างนโยบายและกฎระเบียบที่จะสนับสนุนแนวคิดนี้จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลายาวนาน
The Doughnut Economics Model แตกต่างจาก Model ก่อนหน้าอย่างไร ?
เมื่อเปรียบเทียบกับ Circular Economy หรือ Cradle to Cradle Model ซึ่งมุ่งเน้นที่การปิดวงจรของการใช้ทรัพยากร The Doughnut Economics Model ขยายกรอบความคิดโดยการรวมเอาปัจจัยทางสังคมเข้ามาพิจารณาด้วยซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญ โมเดลนี้เน้นให้ความสำคัญกับทั้ง “ความเป็นธรรมทางสังคม” และ “ขีดจำกัดทางสิ่งแวดล้อม” ในขณะที่ Circular Economy เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดการสร้างขยะ The Doughnut Model มีความหลากหลายมากขึ้นในการกำหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของมนุษย์และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
แนวโน้มในอนาคต The Doughnut Economics Model มีศักยภาพในการเป็นโมเดลสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต แนวโน้มในอนาคตที่รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกจะหันมาใช้โมเดลนี้มากขึ้นเป็นไปได้สูง เนื่องจากความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เน้นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ การพัฒนานโยบายภาครัฐที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ และการสร้างความตระหนักรู้ในระดับสากล โดยคาดว่าในอนาคตเราอาจเห็นเมืองและประเทศต่าง ๆ นำโมเดลนี้มาใช้ในการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างแพร่หลาย
The Doughnut Economics Model เปรียบเสมือนแนวทางที่นำความสมดุลระหว่างการพัฒนาทางสังคมและการปกป้องสิ่งแวดล้อมมารวมกัน เหมือนการหาสมดุลระหว่างการรับประทานอาหารที่ดีและการออกกำลังกายที่เพียงพอ แนวคิดนี้มุ่งหวังให้สังคมตอบสนองความต้องการพื้นฐานของทุกคน เช่น การเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด และการศึกษา ในขณะเดียวกันยังรักษาขอบเขตที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถ้าเกินขีดจำกัดนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
โมเดลนี้ได้ถูกนำไปใช้ในเมืองต่าง ๆ เช่น อัมสเตอร์ดัม และคอสตาริกา แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการนำแนวคิดมาปรับใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฟื้นฟูธรรมชาติ การนำไปใช้จริงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแนวคิดนี้ในการสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง
แม้ว่าการนำแนวคิดนี้ไปใช้ยังเผชิญกับความท้าทาย แต่ด้วยการสนับสนุนจากนโยบายที่เหมาะสมและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน The Doughnut Economics Model มีศักยภาพในการเป็นทางเลือกสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต