ผลตอบรับจากแบบฝึกการสร้างทีมอาจย่ำแย่หากไม่ได้เต็มใจเข้าร่วม

Date Post
09.03.2021
Post Views

การมีทีมงานที่แข็งแกร่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกำลังสำคัญขององค์กร หลายองค์กรจึงได้ให้ความสำคัญกับการสร้างทีมไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นจากนโยบายบริหารหรือเกิดขึ้นจากแรงงานที่มีวิสัยทัศน์ก็ตาม แต่ในการสร้างทีมที่แข็งแกร่งนั้นอาจกลายเป็นปัญหาสำคัญให้เกิดความแตกแยกหากไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยความเต็มใจ

การสร้างทีมที่ดีนั้นกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของเหล่าผู้จัดการที่พยายามสร้างความเป็นมิตรและ Productivity แต่กลับกลายเป็นว่าแรงงานจำนวนไม่น้อยที่ชิงชังการบังคับให้เกิดความสัมพันธ์เหล่านี้ขึ้น และในท้ายที่สุดก็ได้กลายมาเป็นมลพิษในที่ทำงานท้ายที่สุด

งานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์จากมหาวิทยาลัย Sydney ในส่วนของ School of Project Management พบว่าผู้เข้าร่วมนั้นมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการสร้างทีม ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้เปิดเผยให้เห็นถึงผลลัพธ์จากการบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรม

งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นจากผลลัพธ์ที่มาจากการตีพิมพ์ผลงานก่อนหน้าของทีมวิจัย ซึ่งปรากฎให้เห็นมุมมองที่เกิดขึ้นในระบบการฝึกสร้างทีมนั้นทำให้เห็นได้ว่าแรงงานจำนวนมากไม่ชอบกิจกรรมเหล่านี้และมองว่าเป็นการเสียเวลา ซึ่งการค้นหาเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นที่มาของงานวิจัยชิ้นนี้ โดยในปี 2019 นั้นงานวิจัยดั้งเดิมได้แสดงให้เห็นว่าการใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใกล้ชิดนั้นประสบผลสำเร็จมากกว่าแบบฝึกกระชับความสำพันธ์สำหรับทีม

เวลาเกือบทุกวันในที่ทำงานนั้นแรงงานนั้นต้องมีการแทรกแซงซึ่งอาจมีทั้งความหมายโดยนัยหรือความชัดเจนเพื่อเปลี่ยนแปลงเครือข่ายความสัมพันธ์ในการทำงาน ทีมนั้นถูกสร้างขุ้นจากการรวบรวมทีมงาน ปรับโครงสร้างต่าง ๆ ตลอดจนการย้ายสถานที่หรือการจัดพื้นที่ทำงานก็อาจถูกออกแบบใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความคาดหวังในการดื่มหลังการทำงานและสร้างเหตุการณ์เพื่อให้เกิดการเกิดขึ้นของทีม ซึ่งเป้าหมายที่เกิดขึ้นนั้นก็เพื่อยกระดับประสิทธิภาพรวมถึงความสามารถในการทำงานร่วมกันในที่ทำงาน แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้คืออะไร?

จากการศึกษาพบว่าแบบฝึกหัดการสร้างทีมที่พุ่งเป้าไปที่การแบ่งปัน ซึ่งก่อให้เกิดการแทรกแซงเข้าไปยังทัศนคติส่วนบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในทีมอาจถูกตัดสินได้ว่าเป็นภาระอันหนักหนาและเป็นการล่วงล้ำอีกด้วย นอกจากนี้นักวิจัยยังบอกอีกว่าในบางมุมของความเปิดกว้างและช่องโหว่ที่มีมักจะก่อให้เกิดผลกระทบที่ล้วงลึกเข้าไปและส่งผลต่อความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงาน

ท่ามกลางกลุ่มตัวอย่างที่ถูกสัมภาษณ์นั้น มีบางคนต่อต้านแบบฝึกสำหรับการสร้างทีมเพราะรู้สึกเหมือนถูกบังคับโดยนัยและไม่รู้สึกอยากเปิดรับกับการบริหารจัดการผลประโยชน์ในชีวิตนอกเหนือไปจากประสิทธิภาพการทำงานโดยตรงของตัวเอง หรืออีกหลายคนในกลุ่มตัวอย่างไม่อยากถูกบังคับให้ต้องสนุกหรือเล่นบทเป็นเพื่อนกัน โดยเฉพาะในกรณีของคนที่มีงานยุ่ง มีความกดดันสูงหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับการก่อให้เกิดความเป็นทีม กิจกรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการจัดการเหล่านี้นั้นเจ้ากี้เจ้าการ ล่วงล้ำหรือพยายามควบคุมชีวิตตัวเองมากเกินไป

ทีมวิจัยแนะนำว่าการเข้าหาคนนั้นผู้คนสามารถสร้างทีมอย่างเต็มศักยภาพโดยไม่ต้องกังวลใด ๆ เพียงสร้างทีมที่คัดเลือกมาจากคนที่สามารถเลือกได้ว่าอยากจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงานหรือไม่ ตัวเลือกของพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างทีมและการจัดการเช่นกัน

ประเด็นสำคัญ คือ ต้องตั้งเป้าที่ถูกต้องกับความสัมพันธ์ จากนั้นการวิเคราะห์และระบุการสายใยการเชื่อมต่อในการทำงานร่วมกันและเครือข่ายการสื่อสารระหว่างแรงงาน โดยทีมวิจัยได้เสนอว่ายังมีแนวคิดจากหลากหลายสำนักที่สามารถใช้ได้กับกลวิธีทางจิตวิทยาที่แตกต่างกันเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่แข็งแรง ซึ่งในงานวิจัยชิ้นนี้เลือกวิธี ‘การเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure)’ ซึ่งผู้เข้าร่วมจะถูกแนะนำผ่านชุดคำถามที่เปิดโอกาสให้ค่อย ๆ แสดงข้อมูลส่วนบุคคลและคุณค่าออกมา วิธีนี้ได้รับการทดสอบอย่างดีและแสดงให้เห็นว่าสามารถเพิ่มความใกล้ชิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็ยังขึ้นอยู่กับความสมัครใจเป็นพื้นฐาน

ที่มา:
Sydney.edu.au

บทความที่เกี่ยวข้อง:
Productivity เกิดขึ้นได้จากเพื่อนร่วมงานที่เก่งและมีทักษะที่สอดคล้องกัน
Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire