ในปี 2020 ที่ผ่านมา Elon Musk เคยได้ทำการเผยออกมาว่า Tesla นั้นมีเป้าหมายที่จะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองให้ได้มากถึง 20 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030
- Tesla vs BYD สรุปยอดส่งมอบรถยนต์ 2 แบรนด์ใหญ่ในปี 2023
- ผลิตแล้วหลังรอ 4 ปี! Tesla เผยโฉม Cybertruck คันแรกจากโรงงาน
แต่ในรายงานล่าสุดของ Tesla ในวันพฤหัสที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป้าหมายนี้ของ Tesla กลับหายไปและระบุเพียงว่า Tesla ต้องการจะแทนที่การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยการขายผลิตภัณฑ์ของ Tesla ให้ได้มากที่สุดแทน
โดยสาเหตุที่ Tesla เลือกที่จะล้มเลิกแผนการณ์นี้ก็คาดว่าเกิดจากแรงกดดันของรถ EV ราคาถูกที่หลั่งไหลเข้ามาจากประเทศจีนมากขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการรถยนต์ของ Tesla นั่นเอง
อีกทั้งแม้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา Tesla จะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 38% แต่ตัวเลขนี้ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายการเติบโตระยะยาวประจำปีที่ Tesla ต้องการที่ 50% อยู่ดี นอกจากนี้ยอดการส่งมอบรถยนต์ของ Tesla ในปีนี้ยังมียอดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบแบบปีต่อปี
หากจะสรุปง่าย ๆ ก็คือ Tesla นั้นจำเป็นจะต้องลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งรอบโลกถ้าหากว่า Tesla ยังต้องการที่จะรักษาแผนการณ์เดิมเอาไว้ให้ได้ แต่การแข่งขันที่สูงขึ้นและยอดขายที่ลดลงนั้นได้บีบให้ Tesla จำเป็นต้องละทิ้งแผนนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้นั่นเองครับ
ทั้งนี้หลังจากที่ยอดขายลดลงไปแล้ว ทางด้าน Elon Musk ก็ได้มีการประกาศว่าจะนำโมเดล EV ราคาถูกออกสู่ตลาดให้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ และคาดว่า Tesla นั้นจะมุ่งโฟกัสไปที่การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงการทำแท็กซี่อัตโนมัติ Robotaxis แทนนั่นเอง
การปรับทิศทางมามุ่งเน้นไปที่โมเดล EV ราคาถูกและการพัฒนาบริการแท็กซี่อัตโนมัติ Robotaxis เช่นนี้ก็น่าจะทำให้ Tesla สามารถสร้างพื้นที่ให้กับตัวเองภายในตลาด EV ที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบันได้มั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งภายหลังจากนี้ Tesla จะมีการกำหนดเป้าหมายตัวเลขส่งมอบรถยนต์ออกมาใหม่หรือไม่นั้น ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปครับ
ที่มา : MaschinenMarkt, Reuters