เปิดประตูสู่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์กับ TMEC

TMEC x MMThailand: ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยากตรงไหน? หาคำตอบไปด้วยกันกับ TMEC!

Date Post
04.11.2024
Post Views

ภายใต้ความท้าทายของตลาดการผลิตที่เน้นสินค้ามูลค่าสูงมากขึ้น อุตสาหกรรมการผลิตไทยต้องรีบปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันและกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่ MM Thailand จึงได้ชวน ดร.วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโสศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) มาพูดคุยกันถึงแนวโน้มและโอกาสในการแข่งขันของประเทศไทย ก่อนที่จะกลายเป็นประเทศที่ผลิตแต่สินค้าตกยุคและไร้ศักยภาพในการแข่งขันอย่างสิ้นเชิง

Key
Takeaways
  • อุตสาหกรรมไทยที่มีส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมตกยุคหรือมีมูลค่าเพิ่มไม่มาก
  • การแข่งขันยุคต่อไปอุตสาหกรรมมูลค่าสูงเป็นส่วนขับเคลื่อนที่สำคัญ
  • ประเทศไทยมีความพยายามจัดตั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539
  • TMEC เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกและแห่งเดียวในไทยตอนนี้
  • อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงนั้นจะใช้แรงงานน้อยลง แต่ต้องการทักษะที่สูงมากขึ้น
  • เงื่อนไขสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่อยู่ที่องค์ความรู้และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง
  • ซัพพลายเชนที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการพัฒนาสินค้า การผลิต และลดเวลาได้อย่างมาก

ปัจจุบันสถานการณ์ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยนั้นอยู่ในสภาพที่มีความน่ากังวลไม่น้อย เนื่องจากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าไม่มากนัก และในอุตสากรรมที่เคยเป็น Champion เดิมก็กำลังจะกลายเป็นอุตสาหกรรมตกยุคที่ไร้ตลาดรองรับในไม่ช้า การปรับตัวสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงจึงเป็นทางรอดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ปัจจุบันมีการส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ PCB และเซมิคอนดักเตอร์ที่เรียกได้ว่าแทบจะเข้าไปอยู่ในทุกส่วนของโลกสมัยใหม่แบบ 24/7 แต่ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันได้อย่างไรในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น?

เมื่ออุตสาหกรรมไทยกลายเป็น ‘อุตสาหกรรมตกยุค’

ประเทศไทยนั้นดั้งเดิมมีรากฐานจากเกษตรกรรมซึ่งปัจจุบันได้มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตที่มีในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นการเพิ่มมูลค่าที่สูงมากนัก เนื่องจากขาดฐานเรื่องงานวิจัยหรือองค์ความรู้ที่จะต่อยอดในระดับสูงได้ ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่เลื่องชื่อลือชาว่าเป็น Detroit แห่งเอเชียก็อยู่ในขาลงจากการมาของยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์จีนที่มีราคาถูก สามารถทุบตลาดทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย โดยข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นว่าเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 1.91 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยเป็นพระเอกนั้นดัชนี MPI อยู่ที่ -18.44 ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment) -12.89 และดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Inventory) -13.83 ตามลำดับ

“สินค้าของเราสู้ในตลาดโลกไม่ได้ เพราะสินค้าเราล้าสมัย ไม่ได้ผลิตในสิ่งที่ตลาดโลกต้องการ”

คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (งานแถลงข่าวการจัดงาน Intelligent Asia Thailand 2025)

หากพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่าหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่เคยเป็น Champion นั้นต่างถดถอยหรือไม่ก็มีสัดส่วนที่น้อยลงแม้จะยังเป็นบวกอยู่ก็ตาม ยังไม่นับรวมถึงอุตสาหกรรมที่ในระดับสากลถือเป็นดาวดวงใหม่อย่างการผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ประเทศไทยกลับมี MPI อยู่ที่ -11.84 เรียกได้ว่า ของเก่าก็เริ่มไม่มีอนาคต ของใหม่ที่ควรจะดีก็กลับไม่เป็นดังคาดหวัง

เพื่อเอาชนะความท้าทายในโลกยุคใหม่นี้ ประเทศไทยจึงตั้งเป้าหมายสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ New S-Curve เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมแพทย์ครบวงจร รวมถึงการปรับแต่ง S-Curve ให้มีศักยภาพทัดเทียมกับตลาดที่เปลี่ยนไปจากเดิม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมทั้งหมดนั้นจะถูกกำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงซึ่งสอดคล้องกับความต้องการที่เกิดขึ้นจริงในตลาดโลก

‘เซมิคอนดักเตอร์’ บ่อน้ำมันยุคใหม่ของภาคการผลิต

หนึ่งในอุตสาหกรรมที่กลายเป็นกระดูกสันหลังของโลกยุคใหม่ คือ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีเรื่องของ PCB เป็นแกนกลางสำคัญ และประเด็นของเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญสำหรับความต้องการที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมีความต้องการใช้งานเทคโนโลยีอัจฉริยะในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงหุ่นยนต์และ AI ต่าง ๆ โดยเซมิคอนดักเตอร์มีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกที่ต้องการข้อมูลดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นแบบอัตโนมัติ ในฐานะตัวประมวลผลที่เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ในทุกอุปกรณ์ยุคใหม่ ตั้งแต่ดาวเทียมใหญ่ยักษ์ไปจนถึงหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขนาดจิ๋ว หรือเซนเซอร์ยุคใหม่ที่ใช้ตรวจจับค่าที่ต้องการ

“เซมิคอนดักเตอร์ถ้าแปลตรงตัว คือ สารกึ่งตัวนำ แต่ในบทบาทของ TMEC นั้น คือ การใช้กระบวนการผลิตทางด้านเซมิคอนดักเตอร์สร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางไฟฟ้าขึ้นมา เช่น MEMS และเซ็นเซอร์เป็นต้น”

ดร.วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโสศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC)

ดร. วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโส TMEC

ข้อมูลจาก Straits Research พบว่า ตลาดของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2023 นั้นมีมูลค่า 198,230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 349,490 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ 6.5% ตลอดระยะเวลาคาดการณ์ระหว่างปี 2024 – 2032 ในขณะที่ Semiconductor Industry Association (SIA) ได้ออกมาประกาศถึงยอดขายของเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกว่า มีมูลค่าสูงถึง 53,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 2024 เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่ 20.6% หากพิจารณายอดขายตามภูมิภาคแบบปีต่อปีจะมีกลุ่มประเทศที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 43.9%, จีน 19.2%, เอเชียแปซิฟิกและอื่น ๆ 17.1% และญี่ปุ่น 2.0% ในขณะที่ยุโรปลดลง -9.0% 

ทุกวันนี้หากมองไปทางซ้าย หันไปทางขวา หรือกำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็ไม่อาจปฏิเสธบทบาทของเซมิคอนดักเตอร์ที่ทำให้เกิดโลกดิจิทัลนี้ได้เลย จะเห็นได้ว่าเซมิคอนดักเตอร์เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีความสำคัญกับชีวิตและสังคมสมัยใหม่อย่างมาก การที่อุตสาหกรรมการผลิตไทยจะเข้ามามีส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมนี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากเนื่องจากประเทศไทยมีพื้นฐานการผลิตที่ดี และยังมีความคุ้นเคยในการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นพื้นฐานจนเคยเป็นแหล่งผลิต Hard Disk Drive (HDD) สำคัญแห่งหนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นอีกเทคโนโลยีที่กำลังตกยุคแต่ไม่ทั้งหมด) แต่ความท้าทายสำคัญ คือ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้นเป็นอุตสาหกรรมมูลค่ามหาศาลที่ต้องการต้นทุนสูงมากรวมถึงจำเป้นต้องมี เรียกได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการเทคโนโลยีระดับ Hi-End อย่างแท้จริง ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ห่างไกลจากประเทศไทย แค่อุตสาหกรรม PCB ยังเข้าถึงได้ยากสำหรับใครหลายคน เซมิคอนดักเตอร์จึงเหมือนเป็นเรื่องฝันเฟื่อง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วประเทศไทยมีโรงงาน Wafer Fabrication ที่ทำงานได้จริง รับงานจากต่างประเทศมามากมายเป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม

เปิดประตูสู่ ‘เซมิคอนดักเตอร์’ อุตสาหกรรมสุดฮอตผ่านความเชี่ยวชาญของ TMEC

ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Thai Microelectronics Center) หรือ TMEC นั้นเรียกได้ว่าเป็นโรงงาน Wafer Fabrication ที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยมีเป้าหมายในการกระจายรายได้ผ่านความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง โดยปัจจุบัน TMEC มี NSTDA เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุน

“TMEC เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ทำหน้าที่วิจัยพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยเน้นไปที่งานด้านการพัฒนาเซนเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ต้องการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง ซึ่งโครงการนี้เริ่มต้นประมาณปี พ.ศ. 2539 โดย ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ในตอนแรกมีเอกชนอย่าง Alphatec Group สนับสนุนพื้นที่ให้ 12 ไร่ ซึ่งในยุคนั้นเป็นความพยายามรอบแรกที่จะให้เกิดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นในประเทศไทย แต่น่าเสียดายที่ต้องเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้งเสียก่อน ทำให้ภาคเอกชนต้องหยุดการดำเนินการ แต่ด้วยความที่ TMEC เป็นหน่วยงานของรัฐจึงทำให้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้” ดร.วุฒินันท์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ TMEC ที่ทำให้มองเห็นได้เลยว่าวิสัยทัศน์ซึ่งเกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นทอดยาวออกไปไกลอย่างมาก

Wafer Fabrication แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย

ปัจจุบัน TMEC นั้นเป็นโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่เกิดขึ้นได้จริง แม้ว่าจะมีอายุอานามมากกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม โดย TMEC มีหน้าที่สำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับเซ็นเซอร์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจผ่านรูปแบบ B2B รวมถึงสร้าง Ecosystem ให้เกิดการใช้งานของ End User เกิดซัพพลายเชนในรูปแบบของ B2C ขึ้น และยังมีหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมที่หาได้ยากยิ่งนี้ขึ้นมา โดยปัจจุบัน TMEC มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ 47 คน และกว่าครึ่งนั้นเป็นคนที่ TMEC พัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเองร่วมกับมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งการทำงานวิจัยสำหรับระดับปริญญาโทหรือเอกที่ TMEC ให้การสนับสนุนนั้นจะเป็นการทำงานร่วมกันบนประเด็นองค์ความรู้ที่ลูกค้าต้องการ ทำให้การศึกษาที่เกิดขึ้นนั้นได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายเพราะสามารถนำไปใช้งานได้จริง

ความสามารถในการผลิตของ TMEC นั้นรองรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 0.8 ไมครอนได้ ครอบคลุมการผลิต MEMS, Microfluidics, Chemical Sensor, Power Devices และ Silicon Detector ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความสามารถของกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั้งสิ้น โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่ TMEC มีความเชี่ยวชาญสูง คือ เซนเซอร์ ซึ่งมีงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในฐานะหัวหอกของนวัตกรรม ในขณะเดียวกันก็รับจ้างผลิต Wafer โดยเฉพาะกลุ่มเซนเซอร์ซึ่งคู่ค้าจากทั่วโลกที่ให้ความสนใจใช้บริการมาเป็นเวลายาวนาน 

กระบวนการผลิตของ TMEC ในฐานะ Wafer Fabrication จะทำการซื้อวัตถุดิบ Wafer เพื่อนำมาเข้ากระบวนการผลิตดังภาพประกอบด้านบน โดย TMEC สามารถดำเนินการผลิตได้ในกระบวนการที่ 2 – 11 โดยจะเป็นการสร้างลายบนเซมิคอนดักเตอร์ทีละชั้น (Layer) จากนั้นจึงวนกระบวนการกลับมาจนกว่าจะมีการผลิตครบตามการออกแบบ โดยส่วนของ Packaging ที่ปกป้องตัวเซมิคอนดักเตอร์ต่อแรงกระแทกและการปนเปื้อนต่าง ๆ นั้นจะมีพาร์ทเนอร์คอยสนับสนุนในขั้นตอนนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ก็ไม่แตกต่างจากการทำงานของ Wafer Fabrication รายใหญ่อย่าง TSMC และรายอื่น ๆ ซึ่งอาจจะมีเรื่องของ Packaging เข้ามาเพิ่มเติม

‘บูรณาการความรู้เข้ากับภาคธุรกิจ’ เงื่อนไขสำคัญในการเข้าสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง

สำหรับประเทศไทยที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการแข่งขันในอุตสากรรมที่มีมูลค่าสูงนั้น ดร.วุฒินันท์มองว่า เรื่องของทักษะ องค์ความรู้ และประสบการณ์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการก้าวเข้ามาสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่อย่างเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เรียกได้ว่าอาจจะมีมูลค่าสูงสุดอุตสาหกรรมหนึ่ง ณ เวลานี้

“ผลพวงจากปัญหาของ Geopolitics, Trade War ต่อเนื่องมาจนถึง Chip War ทำให้ผู้ผลิตและซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ต้องกระจายตัวออกจากจีน กลายเป็นโอกาสของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมาเลเซียกับประเทศไทย แต่เราจะคว้าโอกาสและยืนระยะได้ จำเป็นต้องมีความรู้ ซึ่งความรู้ในที่นี้ต้องเกิดขึ้นใน 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตลาด ส่วนที่เป็นการลงทุน และส่วนที่เป็นเทคนิค โดยผู้วางนโยบายต้องมองเห็นและเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้ ส่วนคนที่อยู่ในแต่ละส่วนเองก็ต้องเข้าใจในส่วนอื่นด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่ารู้แต่เทคนิค ไม่รู้เรื่องธุรกิจ ไม่รู้เรื่องตลาด ไม่รู้อะไรเลย ทำไปก็เจ๊งได้ หรือคนให้ทรัพยากรก็ต้องเข้าใจว่าอุตสาหกรรมมูลค่าสูงแบบเซมิคอนดักเตอร์นั้นทำแล้วได้อะไร เกิดกับใคร ประเทศได้อะไร เพื่อจะได้รู้ว่าเงินที่บอกว่าต้องใช้เยอะมากนั้น ทำไมถึงต้องใช้เยอะ ผลกระทบที่เกิดคืออะไร หรือเปรียบเทียบกับ PCB แล้วทำไมถึงแตกต่างกันมหาศาล” ดร.วุฒินันท์กล่าวถึงแนวทางการปรับตัวต่อโอกาสใหม่ที่กำลังเข้ามาผ่านประสบการณ์ตรงของ TMEC ที่เป็นฝ่ายผลิต ต้องเข้าใจตลาด และต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่ต้องการลงทุนหรือเจ้าของเงิน

ในมุมของแรงงานเอง หากพิจารณาแค่อุตสาหกรรม PCB การ Upskill/Reskill ทำได้ง่าย หลักสูตรที่ยาวที่สุดในปัจจุบันนั้นไม่เกิน 6 เดือน น้อยสุดหลักอาทิตย์ การย้ายเข้ามาจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นไปได้ง่าย แต่ต้องอย่าลืมว่าจำนวนคนและระดับทักษะที่ต้องการจะสวนทางกัน ถ้าต้องการคนจำนวนมาก ทักษะที่ต้องการอาจไม่ต้องฝึกนาน แต่ถ้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงมาก ๆ จำนวนคนที่ใช้จะน้อยมาก เช่น Wafer Fabrication ระดับกลางหรือเล็กที่ใช้คนหลักร้อย โรงงานใหญ่ประมาณ 1,000 คน แต่ถ้าเทียบกับโรงงาน PCB แล้วจะแตกต่างกันอย่างมาก ในระดับการทำงานเอง วิศวกรก็ต้องจบจากมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท เรียนหลักสูตร 3-4 ปี ซึ่งประเทศไทยเองก็มีหลักสูตรพวก IC Design เกิดขึ้นแล้ว และมีแผนการสร้าง Training Center ต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นอีก โดยสาขาการศึกษาที่เกี่ยวข้องจะมีทั้งวิศวกรรมไฟฟ้าที่เน้นไปทางด้าน Packaging และการทดสอบคุณภาพ, ฟิสิกส์ ด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์, เคมี เน้นไปกระบวนการในการผลิต PCB และวิศวกรรมอุตสาหการดูแลการผลิต

‘Knowledge Gap’ ความท้าทายหลักของผู้ประกอบการที่ต้องการมุ่งหน้าสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออัปเกรดสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง ดร. วุฒินันท์ มองว่า ความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้ผลิต OEM มาก่อนถือว่าเป็นการตั้งต้นที่ดี แต่หากจะเริ่มต้นจากอะไรสักอย่าง ต้องเริ่มต้นจาก ‘ความรู้’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่กำลังจะแทรกตัวเข้าไป ความรู้เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น การทำอะไรที่ใกล้เคียงกับความเชี่ยวชาญ หรือ Knowledge Gap ระหว่างอุตสาหกรรมเดิมกับอุตสาหกรรมใหม่ที่น้อยจะมีโอกาสในการเติบโตมากที่สุด

 

“การกระโดดไปทำอะไรที่ไม่เชี่ยวชาญ Go Big เลย เราจะไม่เรียกว่าเสี่ยง แต่มันคือโอกาสตายสูง ล้มละลายได้เลยนะครับ ไม่ใช่แค่ขาดทุน ถ้า Knowledge Gap มันเยอะมาก”

ดร.วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโสศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC)

ดร. วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโส TMEC

หากพิจารณาจากประสบการณ์ของ TMEC ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ประกอบการจากทั่วโลก หนึ่งในข้อสังเกตที่ ดร. วุฒินันท์มองเห็นจากความสำเร็จที่เกิดขึ้น คือ บริษัทเหล่านี้จะมี Core Value หลักที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาและต้องการต่อยอดออกมาเป็นสินค้าของตัวเอง ทำให้ลอกเลียนแบบได้ยาก หรือใครที่สนใจเห็นโอกาสแล้วอยากจะทำตามก็ไม่สามารถทำได้ โดยมาก CEO หรือ CTO ของบริษัทเหล่านี้จะมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน ในมุมหนึ่งจะมองว่าเป็น Startup ก็ได้ แต่ CEO หรือ CTO บริษัทกลุ่มนี้มักจะมีอายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นพนักงานและก้าวเข้าสู่ระดับบริหารที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จุดแข็งของลูกค้ากลุ่มนี้ คือ ในการทำงานกับลูกค้ากลุ่มนี้รู้อยู่แล้วว่าจะขายใคร หาเงินจากใคร หากซัพพลายเชนขาดต้องไปหาจากตรงไหนมาเติม ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะต้องศึกษาซัพพลายเชนให้ดีว่าจะสามารถ Plugin เข้าไปตรงไหนได้บ้าง

ยกตัวอย่าง กรณีอุตสาหกรรมเดิม การ Upskill และมองหา Upstream ที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท PCBA ซึ่งถนัดเรื่องการประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) สามารถเพิ่มคนที่มีทักษะในการออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็น System Integrator เป็นต้น หลังจากนั้นอาจจะขยับไปในงานที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เรียกว่าใช้ Know How ที่มีอยู่เดิมไต่ขึ้นไปในการผลิตหรือกิจกรรมต้นน้ำมากขึ้น แม้ว่าจะยากในการเริ่มต้น แต่ยิ่งไต่ขึ้นไปได้มากเท่าไร คู่แข่งก็ยิ่งน้อยลงและมูลค่ารวมก็เพิ่มขึ้นตามเป็นอย่างมาก

เซมิคอนดักเตอร์ไทย และ Startup จะแข่งขันได้ต้องมี ‘ซัพพลายเชน’

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร. วุฒินันท์มองว่า จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมมูลค่าสูงอื่น ๆ คือ เรื่องของ ‘ซัพพลายเชน’ หากมีซัพพลายเชนที่พร้อม จะทำอะไรใหม่ก็สามารถทำได้ทันที รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง เอารถม้าไปแข่งกับรถไฟฟ้าก็แข่งกันไม่ได้ การมีซัพพลายเชนพร้อมก็ไม่ต่างจากการที่มีเครื่องมือทุกอย่างในมือ ที่เหลือคือจินตนาการให้ได้ว่าอยากให้เกิดอะไรขึ้น

“ยกตัวอย่างประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา เวลาเขาจะทำอะไรใหม่เขาจะ Groom Startup ของเขาระยะเวลาหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Bay Area ทาง California ไปจนถึง Massachusetts และ Boston พอทีมงานพร้อมก็จะส่งคนเหล่านี้ไปฝังตัวที่ Shenzhen ซึ่งมีซัพพลายเชนพร้อมหมด เวลาพัฒนาอะไรจึงมีทีมสนับสนุนทางด้าน Hardware เป็นทีมที่ช่วยหาซัพพลายเชนที่มีครบหมดในจีน จะดี จะร้ายอย่างไรก็มีครบ ทำต้นแบบได้ ซึ่งสำคัญมากสำหรับ Startup ในการไปต่อ การหาเงินเพิ่ม เพื่อทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่มีอยู่นั้นดีขึ้น ลองคิดดูว่าถ้าเราสั่ง PCB จากจีนใช้เวลา 2 – 3 วันได้ แต่จีนเขาสั่งเช้าได้บ่ายหรือได้เช้าเลย แค่เรื่องเดียวเวลาก็นำไป 2 วันแล้ว ทีนี้ก็ลองบวกต่อไปอีกว่ามีกี่เรื่องในการผลิต นอกจากเวลาที่นำไปเป็นเดือนแล้ว เรื่องต้นทุนก็ถูกกว่าอีกด้วย ทำให้เห็นว่าการที่จีนมีซัพพลายเชนพร้อมนั้นได้เปรียบคนอื่นมาก” ดร. วุฒินันท์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการที่จะต้องมีซัพพลายเชนเกิดขึ้นหากต้องการแข่งขันในอุตสาหกรรมใหม่อย่างเซมิคอนดักเตอร์

Semiconductor Supply Chain

  • ผู้ผลิต Ingot และแผ่น Wafer
  • IC Design
  • Wafer Fabrication
  • Chip Packaging
  • Assembly [PCB+Component+Semiconductor]

แต่ซัพพลายเชนก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เอง จำเป็นต้องมีการดึงดูดการลงทุนผ่านการสนับสนุนของภาครัฐ หากประเทศไทยอยากเป็นอย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์ที่สามารถก้าวผ่านวิกฤตต่าง ๆ มาได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวกฎหมายที่ต้องสอดคล้องกับการแข่งขันจริง ทำให้เกิดประสิทธิภาพกับธุรกิจ ไม่ใช่เครื่องถ่วงศักยภาพ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง การดำเนินการช้า แค่เรื่องนี้เราก็แข่งขันได้ยากแล้ว และสิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน คือ การลงทุนอุตสาหกรรมมูลค่าสูงอย่างเซมิคอนดักเตอร์นั้นภาครัฐมีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง

‘ความร่วมมือกับภาครัฐ’ ประตูสู่การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก

อย่างที่เราพอจะทราบกันมาแล้วว่าความพยายามในการผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ความทะเยอทะยานนี้จะปล่อยให้เป็นเรื่องของเอกชนฝ่ายเดียวไม่ได้ ดร. วุฒินันท์ยกตัวอย่างของ TSMC หรือบริษัทที่ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ ว่า ทุกประเทศที่พยายามตั้งโรงงานเหล่านี้ล้วนมีรัฐเป็นผู้เล่นสำคัญทั้งสิ้น ด้วยการสนับสนุนหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Incentive ทางด้านการเงินสนับสนุน เพราะมูลค่าการลงทุนนั้นสูงมาก หากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม PCB ที่มียอดลงทุนในประเทศสูงสุดที่ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,500 ล้านบาท แต่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้นเริ่มต้นที่หลัก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาทไปจนถึงหลัก 1 ล้านล้านบาท เรียกว่าขนาดโรงงาน PCB ที่ใหญ่ที่สุดยังมีมูลค่าการลงทุนต่างจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เล็กที่สุดมากถึง 5 เท่า 

ในกรณีของ TMEC เองเฉพาะในส่วนของ Wafer Fabrication จำเป็นต้องผลิตในห้องปลอดเชื้อ ปลอดฝุ่น ซึ่ง TMEC เองก็มีทั้ง Class 100 และ Class 10,000 เครื่องจักรหลายเครื่องที่มีใช้อยู่หรือได้มานั้นก็ไม่ได้เป็นมือ 1 ตั้งแต่แรก มีทั้งมือ 2 และ มือ 3 จากที่อื่น ทำให้ราคาไม่ได้สูงมาก หลักพันล้านต้น ๆ ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นเครื่องที่เก่ามากแล้ว แต่ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะวิศวกรใน TMEC ที่คอยดูแลเครื่องจักร ดูแลระบบ เรียกว่าเครื่องจักรบางตัวอาจจะอายุมากกว่าบางคนเสียอีก

จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรม Semiconductor นั้นไม่สามารถมีภาคเอกชนรายใดรายหนึ่งลงทุนเองได้ แม้แต่ในกรณีของ TSMC เองมีรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เวลาลงทุนในประเทศหรือสถานที่ใหม่ ๆ ก็ยังต้องขอ Incentive จากรัฐบาลไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นต่างก็มี CHIPS and Science Act (พระราชบัญญัติด้านชิปส์และวิทยาศาสตร์) เพื่อให้เกิดการลงทุนขึ้นได้ ช่วยเรื่องงานลงทุนตั้งแต่ 30 –  50% บางประเทศเคลมที่ 70% ก็มี แต่ต้องดูรายละเอียดการสนับสนุนว่าเป็นด้านภาษีหรือรับเงินลงทุน ไปจนถึงการสนับสนุนพิเศษ เช่น ที่ดิน หรือเช่าฟรี แต่ต้องดูให้ดีเพราะอาจทำให้หลงทางจากแนวนโยบายที่ขายฝันได้ด้วย ยกตัวอย่าง กรณีล่าสุดอย่าง PTT-HANA ที่ BOI อนุมัติงบสนับสนุนบางส่วนเพื่อตั้งโรงงานผลิตชิปนั้น เรียกได้ว่าเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นจากหลายฝ่ายทั้งรัฐและเอกชน โดยภาครัฐเองก็มีส่วนสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่จำเป็นด้วยเช่นกัน

หากอุตฯ ไทยฝันไกล ต้องพัฒนาซัพพลายเชนไปพร้อมกับ R&D ที่เข้มแข็ง

ภาพของการมีซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ที่เข้มแข็งนั้นไม่ต่างกับภาพของยุคปัจจุบันที่ประเทศไทยนั้นมีซัพพลายเชนด้านยานยนต์สันดาปอย่างที่เป็นอยู่ แต่ก็จะเห็นได้ว่าแม้จะมีความเข้มแข็งเพียงใดประเทศไทยก็ไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ เพราะหยุดอยู่แค่ OEM ไม่สามารถไปต่อยัง ODM และ OBM ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดงานวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง และไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนก็เป็นเช่นเดียวกัน 

“งานวิจัยนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ต้นทุนจำนวนมาก การทำวิจัยเพื่อสิ่งที่มีอยู่แล้วในตลาดจึงไม่คุ้มค่าเพราะถูกแข่งขันได้ง่าย แต่ถ้าทำเพื่อสร้างสิ่งใหม่ สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือเพื่อแก้ Pain Point ที่มีจะมีมูลค่าเพิ่มทันที ซึ่งตรงนี้เองเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างมากที่ต้องหข้อมูลการตลาด, การทำ Literature Review ไม่ใช่แค่ว่าดูว่าใครทำอะไรมาแล้วไม่ทำซ้ำ แต่ต้องเป็นการสร้างสิ่งใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งเดิม ต้องบอกว่ามองเรื่องนี้ผ่านมุมมองของเศรษฐศาสตร์จะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น เทคโนโลยีการแพทย์ใหม่นั้นจะสามารถรักษาคนเพิ่มขึ้นได้อีกเท่าไร มูลค่าของเทคโนโลยี ธุรกิจการผลิตที่เกิดขึ้น การจ้างงานที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการยืนระยะและการแข่งขัน ตรงนี้จะทำให้เกิดความแตกต่างจากของที่ใครก็ผลิตได้ เราไม่ควรแข่งขันกันที่ราคา เพราะไม่ยั่งยืน หรือทำการผลิตให้เขาเพียงอย่างเดียว ถ้าเขาถอนการผลิตเมื่อไรก็จบ แล้วถ้าไปผลิตอะไรตามใคร ผลิตสิ่งที่ใครก็ทำได้จะแข่งราคากับเขาอย่างไรไหว” มุมมองของ ดร. วุฒินันท์ ที่มีต่องานวิจัยและพัฒนานั้นเรียบง่ายและจับต้องได้มากกว่าที่เคยได้รู้มา เมื่อพิจารณาถึงงานวิจัยในมุมมองของเศรษฐศาสตร์ก็จะเห็นตัวเลขและความคุ้มค่าต่าง ๆ ที่สามารถวัดและประเมินผลได้

ในวันนี้แม้ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทยจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่จริง ๆ แล้วเรามีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ที่รับงานในระดับสากลเกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้ TMEC ซึ่งได้มีการวางรากฐานเอาไว้อย่างยาวนาน และวันนี้เราก็ได้เห็นช่วงเวลาของการเดินหน้าสู่อนาคตใหม่ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมมูลค่าสูงแล้ว หากใครที่กำลังมองหาช่องทางธุรกิจใหม่ ๆ ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้และมีความต้องการในตลาดไม่น้อย ยิ่งสามารถขึ้นไปในการผลิตต้นน้ำได้มากเท่าไรโอกาสของธุรกิจก็ยิ่งมีมากเท่านั้น!

สามารถติดต่อ TMEC ได้ที่:
Website: www.tmec.or.th
Email: [email protected]
Tel: 092 687 1112 หรือ 038 857100 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
TMEC สวทช. พลิกโฉม สู่การเข้าถึงเทคโนโลยี ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย
นายกฯ นั่งประธาน”บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์” วางยุทธศาสตร์ ดันไทยขึ้นชั้นผู้นำในภูมิภาค
Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire