อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ ชิปคอมพิวเตอร์ และยารักษาโรค สูงสุดถึง 100% ในระหว่างการประชุมพรรครีพับลิกันที่รัฐฟลอริดา โดยให้เหตุผลว่าต้องการผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ กลับมาผลิตสินค้าในประเทศ แทนที่จะพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
นโยบายภาษีแทนการอุดหนุนรัฐ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา STAR Act ได้รับการอนุมัติให้ขยายเวลาการลดหย่อนภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายใต้ CHIPS and Science Act ที่ออกในสมัยรัฐบาลไบเดน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ออกมาโจมตีนโยบายดังกล่าวโดยระบุว่า “เป็นเรื่องไร้สาระ” และเสนอแนวทางใหม่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
“เราไม่ควรใช้ภาษีประชาชนไปให้บริษัทเหล่านี้ เราต้องให้พวกเขากลับมาผลิตในอเมริกาโดยที่พวกเขาออกค่าใช้จ่ายเอง” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์เสนอให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 25%, 50% หรือ 100% สำหรับสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรม ชิปเซมิคอนดักเตอร์ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อเป็น “แรงจูงใจ” ให้บริษัทต่าง ๆ สร้างโรงงานภายในประเทศ
ชี้เป้าการผลิตชิปควรกลับมาอยู่ในอเมริกา
ทรัมป์กล่าวหาว่าการผลิตชิปในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก เนื่องจากบริษัทหลายแห่งย้ายฐานการผลิตไปยังไต้หวันและประเทศอื่น ๆ โดยกล่าวถึงบริษัท TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ได้รับเงินอุดหนุนกว่า 11.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก CHIPS Act ของรัฐบาลไบเดน
“พวกเขาได้เงินไปแล้ว พวกเขาไม่ได้ต้องการเงินเพิ่ม แต่เรากลับให้พวกเขาไป” ทรัมป์กล่าว พร้อมระบุว่า สหรัฐฯ ควรหยุดให้เงินสนับสนุนและหันมาใช้มาตรการภาษีแทน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า TSMC ได้นำเงินสนับสนุนดังกล่าวไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิป 5 นาโนเมตร ในรัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
แผนภาษีนำเข้าของทรัมป์ขัดแย้งกับนโยบายโลก
ข้อเสนอนี้สวนทางกับคำแนะนำของ สมาคมเซมิคอนดักเตอร์แห่งสหรัฐฯ (SIA) ซึ่งสนับสนุนแนวทางเดิมของ CHIPS Act ที่เน้นการให้ เครดิตภาษีและเงินทุนสนับสนุน แก่อุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถของสหรัฐฯ ในการผลิตชิป
SIA ระบุว่า CHIPS Act ช่วยให้สหรัฐฯ เพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศถึง 3 เท่าภายในปี 2032 และเป็นกุญแจสำคัญในการกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกอีกครั้ง
นอกจากนี้ องค์กรด้านเทคโนโลยีอย่าง CTA (Consumer Technology Association) ยังออกมาต่อต้านแผนภาษีนำเข้าของทรัมป์ โดยชี้ว่า “ห่วงโซ่อุปทานระดับโลกต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการพัฒนา ภาษีศุลกากรอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนในระบบ และทำให้ต้นทุนของบริษัทอเมริกันเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น”
CTA เสนอว่าควรใช้แนวทางความร่วมมือทางการค้ากับพันธมิตรระหว่างประเทศมากกว่าการปิดกั้นตลาด
ความเป็นไปได้ในการบังคับใช้แผนนี้
แม้ว่าทรัมป์จะมีแนวคิดเพิ่มภาษีนำเข้าเพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า เป็นไปได้ยากที่จะสร้างโรงงานชิปใหม่ในสหรัฐฯ ได้ทันภายในวาระสี่ปีของเขา
การก่อสร้างโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้เวลาเป็นสิบปี และบริษัทที่มีเครือข่ายการผลิตทั่วโลกอาจไม่เต็มใจที่จะย้ายฐานการผลิตกลับมาเพียงเพราะการเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้น
นอกจากนี้ การนำภาษีนำเข้าไปใช้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เหล็กกล้า เครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า ตามที่ทรัมป์กล่าว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและราคาสินค้าในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นโยบายของทรัมป์เป็นการเปลี่ยนทิศทางจากแนวทางเดิมของรัฐบาลไบเดนที่เน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมผ่านเครดิตภาษีและเงินทุน ขณะที่แนวทางของทรัมป์เน้นการใช้ ภาษีศุลกากรเป็นมาตรการบังคับให้บริษัทต่าง ๆ กลับมาผลิตในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้แผนนี้ยังคงมีข้อสงสัยว่า จะช่วยดึงการผลิตกลับมาสหรัฐฯ ได้จริงหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงมาตรการที่สร้างต้นทุนสูงขึ้นให้กับผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศ
ขณะนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เกี่ยวกับคำประกาศของทรัมป์ แต่คาดว่า ภาคธุรกิจและพันธมิตรทางการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์การผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเซมิคอนดักเตอร์เป็นวัตถุดิบสำคัญ หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ อาจทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทที่ตั้งอยู่ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ราคาชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สูงขึ้น
ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าประเภท คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับแบรนด์ระดับโลก เช่น Western Digital, Seagate, Samsung และ Apple หากต้นทุนเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเหล่านี้ในไทยจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น และอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ส่งผลกระทบต่อยอดขายและกำลังแข่งขันในตลาดโลก - ความเสี่ยงในการชะลอคำสั่งซื้อและการลงทุนใหม่
ผู้ผลิตระดับโลกอาจชะลอคำสั่งซื้อหรือเปลี่ยนแผนการผลิต หากต้นทุนสูงเกินไป นักลงทุนต่างชาติอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทย
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์
อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบคือ อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ หากสหรัฐฯ บังคับใช้ภาษีนำเข้าสูงกับยาและวัตถุดิบทางการแพทย์
- ต้นทุนยานำเข้าสูงขึ้น อาจกระทบราคายาในไทย
ไทยนำเข้ายาจำนวนมากจากสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งบางส่วนผลิตโดยใช้วัตถุดิบจากประเทศอื่น หากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น อุตสาหกรรมยาในไทยที่พึ่งพาวัตถุดิบจากแหล่งเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบ ราคายาอาจสูงขึ้น และกระทบต่อระบบสาธารณสุข - โอกาสการส่งออกยาจากไทยอาจลดลง
ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยา Generic Drug และส่งออกไปยังสหรัฐฯ หากนโยบายใหม่ของทรัมป์สนับสนุนให้บริษัทอเมริกันผลิตยาในประเทศมากขึ้น การส่งออกยาจากไทยไปยังสหรัฐฯ อาจลดลง
ความเสี่ยงด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
มาตรการของทรัมป์อาจส่งผลกระทบในระดับมหภาคต่อเศรษฐกิจโลก และทำให้เกิด สงครามการค้ารอบใหม่ ซึ่งไทยอาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
- ความไม่แน่นอนของตลาดและค่าเงินบาท
หากเกิดความตึงเครียดด้านการค้า ตลาดหุ้นและค่าเงิน อาจเกิดความผันผวน นักลงทุนอาจชะลอการลงทุนในไทย และค่าเงินบาทอาจได้รับแรงกดดัน - การปรับตัวของภาคส่งออกไทย
ไทยมีการค้าขายกับทั้งจีนและสหรัฐฯ หากทั้งสองประเทศมีนโยบายที่แข็งกร้าวต่อกัน สินค้าไทยที่ใช้วัตถุดิบจากจีน อาจถูกกีดกันจากตลาดสหรัฐฯ และในขณะเดียวกัน การค้ากับจีนอาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากแรงกดดันของสหรัฐฯ
โอกาสและการปรับตัวของไทย
แม้จะมีความเสี่ยง แต่สถานการณ์นี้อาจเปิดโอกาสให้ไทยปรับตัวและพัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเอง
- ส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย
หากสหรัฐฯ ต้องการลดการพึ่งพาจีน ไทยอาจใช้โอกาสนี้เป็น ฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำรอง สำหรับซัพพลายเชนระดับโลก การพัฒนาโรงงานผลิตชิปของไทยอาจได้รับแรงจูงใจจากบริษัทอเมริกันที่ต้องการกระจายความเสี่ยง - ดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีน
หากสหรัฐฯ กดดันจีนมากขึ้น บริษัทต่างชาติอาจหันมาลงทุนในประเทศที่เป็นกลางมากขึ้น ไทยสามารถ ส่งเสริมสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง - ขยายความร่วมมือทางการค้ากับอาเซียนและยุโรป
ไทยสามารถลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ โดย ขยายตลาดไปยังยุโรปและอาเซียน ซึ่งอาจมีโอกาสในการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยามากขึ้น
หากทรัมป์เดินหน้าบังคับใช้ภาษีนำเข้าสูงสุด 100% จริง ประเทศไทยอาจเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยา และเวชภัณฑ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ ราคาสินค้า การส่งออก และเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ไทยอาจใช้สถานการณ์นี้เป็นโอกาสในการ พัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภายในประเทศ ดึงดูดนักลงทุน และขยายตลาดการค้ากับประเทศอื่น ๆ