The Biden administration ได้ออกประกาศข้อจำกัดใหม่ซึ่งจะเพิ่มเงื่อนไขในการได้รับเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อจำกัดไม่ให้ผู้ผลิต EV ใช้แบตเตอรี่ที่ทำการผลิตจากประเทศจีน
- สหรัฐฯ คุมเข้ม เตรียมเพิ่มระดับมาตรการห้ามส่งออกชิปไปยังจีน
- รัฐสภาสหรัฐยกเลิกนโยบายยกเว้นภาษีแผงโซลาร์เซลล์จากไทย
- ผู้ก่อตั้ง TSMC เชื่อ ศึกสหรัฐฯ-จีนจะทำให้อุตสาหกรรมชิปทั่วโลกชะลอตัว
โดยรายงานจาก Bloomberg ได้ระบุว่าข้อจำกัดดังกล่าวนั้นจะกำหนดให้ผู้บริโภคที่ต้องการขอรับเครดิตภาษีมูลค่า 7,500 ดอลลาร์จากการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศได้นั้น จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ที่ประกอบหรือมีชิ้นส่วนที่มาจากบริษัทหรือกลุ่ม ‘นิติบุคคลต่างประเทศที่น่ากังวล’ (Foreign entity of concern – FEOCs) ได้ไม่เกิน 25% เท่านั้น
ภายใต้แนวทางใหม่นี้ บริษัทใดก็ตามที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐบาลจีน ถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีนหรือมีหน่วยงานของรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของอย่างน้อย 25% จะถือเป็น FEOCs ทันที โดยจะนับรวมไปถึงการทำการผลิตภายในประเทศจีนด้วย แต่ทั้งนี้บริษัทสาขาในต่างประเทศของบริษัทเอกชนจีนที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่ FEOC อย่างออสเตรเลียหรืออินโดนีเซียจะยังคงได้รับอนุญาตอยู่ตราบใดที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน
โดยจุดประสงค์ของประกาศข้อบังคับใหม่นี้ก็มาจากการที่ The biden administration พยายามสร้างสมดุลใน 2 วาระ ที่ต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เลิกทำการเลือกใช้วัสดุที่มีราคาประหยัดจากประเทศจีนซึ่งกำลังครองห่วงโซ่อุปทานอยู่ในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องการกระตุ้นให้เกิดการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั่นเอง
สำหรับข้อบังคับใหม่นี้ก็ได้ทำให้เกิดเสียงตอบรับขึ้นจากหลายฝ่าย ทั้งจากฝั่งผู้ผลิต EV ที่โต้แย้งว่าข้อจำกัดที่เข้มงวดจะทำให้ต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น อีกทั้งการที่จีนสามารถครอบงำห่วงโซ่อุปทานเอาไว้อยู่นั้นยิ่งทำให้การแยกตัวออกจากประเทศจีนแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ทางฝั่งบริษัทเหมืองแร่และรีไซเคิลของสหรัฐฯ นั้นก็ต่างก็เห็นด้วยกับแนวทางที่เข้มงวดเพื่อปกป้องและเร่งความก้าวหน้าของการผลิตวัสดุที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ภายในประเทศให้เร็วยิ่งขึ้น
สุดท้ายข้อบังคับใหม่นี้ยังส่งผลให้รถยนต์หลายรุ่นอาจต้องเสียสิทธิ์ในการได้รับเครดิตภาษีไปและคาดว่าจะส่งผลให้ผู้เล่นรายใหญ่จำนวนมากต้องทำการปรับตัวหันมาลงทุนภายในประเทศกันมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในอนาคตผลลัพธ์จากข้อบังคับใหม่นี้จะทำให้ทิศทางของอุตสาหกรรม EV ในสหรัฐฯ เดินหน้าไปในทิศทางไหน ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ