structural health monitoring shm

เมื่ออาคารมี Smartwatch จับชีพจรโครงสร้างพร้อมเฝ้าระวังด้วย SHM

Date Post
07.04.2025
Post Views

โลกของวิศวกรรมโครงสร้าง การรู้ให้ทัน “ปัญหาที่มองไม่เห็น” คือหัวใจสำคัญของความปลอดภัย และนั่นคือเหตุผลที่เทคโนโลยี Structural Health Monitoring (SHM) กลายเป็นเรื่องที่น่าจับตามองในยุคที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ

แล้ว SHM คืออะไร? มันทำงานยังไง? และเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุดเกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้? ลองมาดูกันครับ

(ภายในบทความนี้เราขออนุญาตใช้คำว่า สุขภาพ ในการกล่าวถึงความสมบูรณ์พร้อมของสิ่งปลูกสร้างเพื่อความเข้าใจที่ง่ายและตรงกันนะครับ)

SHM คืออะไร?

SHM (Structural Health Monitoring) คือระบบที่ใช้ในการตรวจติดตามและประเมินสภาพความสมบูรณ์ของโครงสร้างทางวิศวกรรมแบบต่อเนื่อง โดยระบบจะใช้เซนเซอร์วัดค่าทางกายภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเร่ง ความเครียด และการสั่นสะเทือน แล้วส่งข้อมูลไปวิเคราะห์ผ่านซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เพื่อคาดการณ์หรือแจ้งเตือนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

SHM ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาการตรวจสอบด้วยสายตาที่อาจไม่สามารถมองเห็นความเสียหายภายในโครงสร้างได้ โดยเฉพาะกับสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่หรือมีความซับซ้อน เช่น สะพาน อาคารสูง อุโมงค์ หรือโรงไฟฟ้า ซึ่งความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความสูญเสียร้ายแรงได้

ข้อดีของ SHM คือสามารถให้ข้อมูลแบบ Real-time และต่อเนื่อง ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถทราบความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมโครงสร้างได้อย่างแม่นยำ หากมีความผิดปกติ เช่น การทรุดตัว การเคลื่อนตัวผิดปกติ หรือแรงกระทำเกินค่าปลอดภัย ระบบจะสามารถแจ้งเตือนได้ทันที

ลองนึกภาพว่าถ้าอาคารมีกล้องวงจรปิดคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของผู้คนอยู่ตลอด SHM ก็คือระบบที่ทำหน้าที่เฝ้าดู ตัวอาคารหรือโครงสร้างนั้นอย่างใกล้ชิดเช่นกัน เปรียบเสมือนหมอประจำตัวของอาคาร ที่คอยตรวจสุขภาพทุกขณะ และส่งสัญญาณเตือนหากพบสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย

ระบบนี้ทำงานอย่างไร?

SHM ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่ เซนเซอร์เก็บข้อมูล ระบบสื่อสารข้อมูล และซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งแต่ละส่วนมีบทบาทสำคัญที่แตกต่างกันแต่เชื่อมโยงกันเพื่อให้การตรวจสอบโครงสร้างเป็นไปอย่างแม่นยำและทันเวลา

เซนเซอร์ (Sensor) คือหัวใจของระบบ SHM โดยจะติดตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญของโครงสร้าง เช่น เสา คาน หรือจุดรับแรง เซนเซอร์เหล่านี้สามารถวัดพารามิเตอร์ทางวิศวกรรมได้หลายชนิด เช่น ความเครียด (strain), ความเร่ง (acceleration), การเปลี่ยนรูป (displacement), อุณหภูมิ และแรงสั่นสะเทือน การเลือกชนิดและตำแหน่งติดตั้งเซนเซอร์ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงสร้างและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ระบบจัดเก็บและส่งข้อมูล (Data Acquisition and Communication) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากเซนเซอร์ แล้วส่งไปยังระบบประมวลผลผ่านเครือข่าย ซึ่งอาจเป็นแบบไร้สายหรือใช้สายสัญญาณ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมอย่างต่อเนื่องและจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลาง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ย้อนหลัง หรือแจ้งเตือนแบบทันทีได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ

ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis Software) ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากเซนเซอร์ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น สถิติ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์องค์ประกอบจำกัด (Finite Element Analysis) หรือ Machine Learning เพื่อแยกแยะความผิดปกติ ตรวจจับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงจากสภาวะปกติ และวิเคราะห์ตำแหน่งหรือระดับความรุนแรงของความเสียหาย

ในกรณีที่ระบบตรวจพบค่าที่ผิดปกติ เช่น แรงสั่นสะเทือนเกินขีดจำกัด หรือมีการเปลี่ยนรูปของโครงสร้างในจุดที่ไม่ควรเกิดขึ้น ซอฟต์แวร์จะทำการแจ้งเตือนทันทีไปยังเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ช่วยให้สามารถดำเนินการตรวจสอบหรือซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง

นอกจากการทำงานในภาวะฉุกเฉินแล้ว ระบบ SHM ยังสามารถใช้เพื่อเฝ้าติดตามพฤติกรรมของโครงสร้างในระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพจากการใช้งานหรือสภาพแวดล้อม ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดงบประมาณในระยะยาว

แล้ว SHM ช่วยอะไรได้หลังแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ 

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนบางส่วนถึงกรุงเทพฯ แม้จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในเบื้องต้น แต่ก็เพียงพอที่จะปลุกกระแสให้ผู้คนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาใส่ใจเรื่อง “ความปลอดภัยของโครงสร้างในเขตเมืองใหญ่” มากยิ่งขึ้น

หลายอาคารในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอาคารเก่า หรืออาคารสูงที่สร้างมานานแล้ว อาจไม่มีข้อมูลสุขภาพของโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง หากต้องพึ่งพาการตรวจสอบด้วยสายตาและการประเมินหลังเหตุการณ์เท่านั้น การตัดสินใจว่าจะใช้งานต่อหรือปิดอาคารเป็นเรื่องที่ล่าช้าและมีความเสี่ยงสูง

ในกรณีที่มีการติดตั้งระบบ SHM อยู่ล่วงหน้า อาคารจะมีข้อมูลพฤติกรรมโครงสร้างก่อน ระหว่าง และหลังแผ่นดินไหวทันที เช่น ค่าความเร่งที่โครงสร้างได้รับ การเปลี่ยนรูปของโครงสร้างที่ผิดปกติ หรือสัญญาณของการแตกร้าวภายในที่ตรวจไม่เห็นด้วยตาเปล่า ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้วิศวกรสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ว่าโครงสร้างยังปลอดภัยหรือไม่ และต้องซ่อมแซมตรงไหนบ้าง

นอกจากนี้ ยังสามารถจำกัดขอบเขตของพื้นที่ที่ต้องปิดใช้งานได้อย่างแม่นยำ เช่น อาจไม่ต้องปิดทั้งอาคาร แต่ปิดเฉพาะชั้นหรือโซนที่มีค่าความเสียหายผิดปกติ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสถานที่ราชการ

SHM ยังช่วยให้สามารถสื่อสารกับประชาชนหรือผู้ใช้อาคารได้อย่างมั่นใจ เพราะมีข้อมูลทางวิศวกรรมรองรับการตัดสินใจ ไม่ใช่เพียงการประเมินด้วยความรู้สึกหรือความไม่แน่ใจ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังวิตกกังวล

คุณคิดว่าหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวแบบนี้ หากอาคารที่คุณทำงานหรือพักอาศัยมี SHM ติดตั้งอยู่ตลอดเวลา คุณจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้นหรือไม่?

ตัวอย่าง SHM ที่มีใช้ในประเทศไทยแล้ว

ในไทยเองก็มีการใช้ SHM แล้วในหลายโครงสร้าง เช่น:

  • สะพานพระราม 8 และพระราม 9 – มีการติดตั้ง SHM เพื่อวัดการเคลื่อนไหวของโครงสร้าง
  • ทางยกระดับและอุโมงค์ในกรุงเทพฯ – ตรวจสอบแรงดันและแรงสั่นสะเทือนแบบต่อเนื่อง
  • อาคารสูงบางแห่ง – ใช้เซนเซอร์วัดการเอียงหรือการทรุดตัว เพื่อความปลอดภัยของผู้พักอาศัย

แม้ต้นทุนของระบบจะสูง แต่ด้วยราคาของอุปกรณ์ที่ถูกลง และประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้ — SHM จึงกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

SHM อาจยังไม่ใช่เทคโนโลยีที่คนทั่วไปพูดถึงกันบ่อย ๆ แต่สำหรับวิศวกรและผู้ดูแลโครงสร้างขนาดใหญ่ มันคือผู้ช่วยที่สำคัญยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่คาดเดาไม่ได้

หากคุณทำงานเกี่ยวกับอาคารหรือโครงสร้างใด ๆ และยังไม่เคยรู้จัก SHM มาก่อน หรือ อาจถึงเวลาที่จะเริ่มมองหามันแล้วก็ได้นะครับ

Ref.

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
element14