“อมตะ” ประเมินภาพการลงทุนปี’63 เปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับระยะเวลาควบคุมวิกฤติโควิด-19 ของแต่ละประเทศ เสนอรัฐบาลเร่งปรับตัวพลิกฟื้นการบริโภคภายในก่อนพึ่งตลาดส่งออก สร้างความได้เปรียบดึงการลงทุน หลังแนวโน้มการตัดสินใจเลือกลงทุนเปลี่ยนไป หวั่นประเทศเพื่อนบ้านงัดสิทธิประโยชน์ ค่าแรงต่ำ ใช้เป็นแม่เหล็กดึงทุนต่างชาติไหลเข้า
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า จากผลกระทบของการระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19 ) คาดว่าจะส่งผลให้ภาพของการลงทุนและการผลิตทั่วโลกจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังจากที่ประเทศส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ จะทำให้เกิดการตัดสินใจการย้ายฐานการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น แต่พื้นที่ที่จะเลือกลงทุนของนักลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ(FDI)จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยนักลงทุนจะมองเรื่องความมีเสถียรภาพของรัฐบาลและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น
“ การเลือกพื้นที่การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศจะมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ด้วยปัจจัยต่างๆแต่ละประเทศมีความพร้อมที่จะเปิดรับการลงทุน ทั้งในด้านสิทธิประโยชน์ แรงงาน และนโยบายของรัฐบาล ที่มีความชัดเจนในการเปิดรับนักลงทุนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว กัมพูชาและเมียนร์ม่า ซึ่งไทยแม้ว่าจะได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบของนักลงทุนทั้งหมดเพราะการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับการมีเสถียรภาพของรัฐบาลและนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนควบคู่ไปด้วย” นายวิบูลย์กล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องเร่งออกนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ภายหลังการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้แล้ว โดยเริ่มต้นจากการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น ดังนั้นนโยบายรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยประคองระบบเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะไทยคงไม่สามารถพึ่งพาตลาดส่งออกในระยะแรก เนื่องจากแต่ละประเทศจะต้องใช้เวลาในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดที่อาจจะสำเร็จไม่พร้อมกัน ขณะเดียวกันจำเป็นต้องมีการยกระดับรายได้ของภาคเกษตร เพราะเป็นพื้นฐานการบริโภคที่สำคัญ ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งระดับรายได้เฉลี่ยของคนไทยในปัจจุบันอยู่ที่ ระดับ 9,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่สูงมากนัก
ในส่วน อมตะฯ มีแผนสำหรับรองรับกับเปลี่ยนแปลงของภาพการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งในเรื่องของพื้นที่รองรับการลงทุนที่มีอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะชิตี้ ชลบุรี และ นิคมฯอมตะชิตี้ ระยอง ที่ปัจจุบันมีอยู่ที่ 14,000 ไร่ แต่รูปแบบการเปิดรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน อมตะจะพิจารณาความต้องการของนักลงทุนอย่างถี่ถ้วนในการเข้ามาใช้พื้นที่ตามเงื่อนไขของนักลงทุนทั้งการชื้อและเช่าที่ดิน เนื่องจากนักลงทุนยังให้ความสนใจในการเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อการลงทุนในระยะยาวในนิคมฯของกลุ่มอมตะอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้การเข้ามาของนักลงทุนเกิดการชะลอตัว เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส ซึ่งนับว่าเป็นจังหวะเดียวกับช่วง Low season ของกลุ่มบริษัท อมตะที่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในช่วงไตรมาส 1-2 ของทุกปี
อย่างไรก็ตามในช่วงภาวะวิกฤติครั้งนี้ บริษัท อมตะ ยังคงมีการติดต่อกับนักลงทุน โดยใช้ระบบเทคโนโลยีด้านสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อมูลเบื้องต้นกับกลุ่มลูกค้าและนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Video Conference E-Mail เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการทำตลาดในช่วงนี้ ก่อนที่นักลงทุนจะสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อศึกษาพื้นที่จริง และตัดสินใจเข้ามาลงทุนต่อไป